นางสาวนภารัตน์ ศรีวรรณวิทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน และรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงิน บัญชี และบริหารความเสี่ยง บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) เปิดเผยว่า ทิศทางการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังของ 64 บริษัทยังคงมุ่งมั่นดูแลช่วยเหลือผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มอย่างต่อเนื่อง และพร้อมให้ความร่วมมือกับภาครัฐ รวมทั้งเตรียมพร้อมปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทางธุรกิจเพื่อรับมือกับสถานการณ์
ในส่วนการขยายการลงทุนในพอร์ตของบริษัท ยังคงเดินหน้าลงทุนพัฒนา 3 โครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ ได้แก่ เซ็นทรัล อยุธยา และ เซ็นทรัล ศรีราชา ที่เตรียมเปิดภายในสิ้นปี 64 และเซ็นทรัล จันทบุรี ที่เตรียมเปิดภายในกลางปี 65 อีกทั้งยังมีโครงการ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ที่ร่วมพัฒนากับ บมจ.ดุสิตธานี (DTC) ซึ่งจะทยอยเปิดให้บริการในปี 66-67 เป็นต้นไป
ด้านแผนการลงทุนและเป้าหมายทางธุรกิจในระยะ 5 ปี (ปี 64-68) บริษัทได้มีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ต่างๆ และเดินหน้าลงทุนอย่างต่อเนื่อง ทั้งโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบผสม (Mixed-use Development) โครงการที่พักอาศัย รวมถึงแผนการปรับปรุงสินทรัพย์ที่มีอยู่ในปัจจุบันเพื่อเพิ่มมูลค่า รวมทั้งบริหารจัดการค่าใช้จ่ายและลดต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาสภาพคล่องทางการเงิน และเตรียมพร้อมกับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน
ขณะเดียวกัน บริษัทยังคงศึกษาโอกาสการลงทุนธุรกิจในรูปแบบอื่น การเข้าซื้อกิจการ และการลงทุนในต่างประเทศในแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในประเทศ มาเลเซีย และเวียดนาม รวมถึงศึกษาโอกาสการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพการเติบโตสูงเพื่อขยายช่องทางในการสร้างรายได้ใหม่และสอดคล้องกับแผนการเติบโตตามเป้าหมายในอนาคตอย่างมั่นคงและยั่งยืน
สำหรับการทำสัญญาเข้าซื้อหุ้นของ บมจ.สยามฟิวเจอร์ ดีเวลอปเมนท์ (SF) จากกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่เดิมนั้น ถือเป็นการเข้าลงทุนเพื่อเสริมความแข็งแกร่งทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยขยายพอร์ตที่เป็นศูนย์การค้าขนาดใหญ่ในภูมิภาคที่ตั้งอยู่ในประเทศ (Super Regional Mall) ของบริษัทเพิ่มเป็น 2 แห่ง ได้แก่ เซ็นทรัล เวสต์เกต และเมกาบางนา ที่จะเป็นการเติบโตไปพร้อมกับพันธมิตรระดับโลกอย่างอิเกีย (IKEA) รวมทั้งผนึกกำลังธุรกิจในเครือกลุ่มเซ็นทรัล เดินหน้าขยายคอมมูนิตี้ มอลล์ต่างๆ และพัฒนาโครงการที่ดินบนทำเล CBD ของกรุงเทพฯ
ด้านพอร์ตของ CPN ในปัจจุบันได้บริหารจัดการศูนย์การค้า 34 แห่ง มีพื้นที่ให้เช่ารวม 1.8 ล้านตารางเมตร ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล 15 โครงการ ต่างจังหวัด 18 โครงการ และในมาเลเซีย 1 โครงการ ศูนย์อาหาร 30 แห่ง และยังมีอาคารสำนักงาน 10 แห่ง โรงแรม 2 แห่ง โครงการที่พักอาศัยอีก 18 โครงการ ประกอบด้วยคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ ESCENT, ESCENT VILLE, ESCENT PARK VILLE, PHYLL PAHOL 34 และ BELLE GRAND RAMA 9
นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาโครงการแนวราบภายใต้แบรนด์ ESCENT TOWN พิษณุโลก ที่เป็นทาวน์โฮม นินญา กัลปพฤกษ์ ที่เป็นบ้านแฝด และโครงการนิยาม บรมราชชนนี บ้านเดี่ยวหรู และโครงการบ้านเดี่ยวแบรนด์ใหม่ที่เพิ่งเปิดตัว ได้แก่ นีรติ เชียงราย และนีรติ บางนา โดยโครงการดังกล่าวได้พัฒนารวมภายใต้บมจ.แกรนด์ คาแนล แลนด์ (GLAND) ซึ่งบริษัทเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
สำหรับสถานการณ์โควิด-19 ในปัจจุบันที่ยังมีการแรพ่ระบาดในประเทศมาต่อเนื่อง ทำให้บางศูนย์การค้าที่อยู่ในกรุงเทพฯและปริมณฑลส่วนใหญ่ต้องปิดพื้นที่การให้บริการบางส่วนไป แต่ศูนย์การค้าในต่างจังหวัดบางห่งยังคงสามารถเปิดให้บริการได้ ซึ่งบริษัทมีการเตรียมความพร้อมในการพัฒนาการบริการรูปแบบใหม่ผ่านช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้ลูกค้า
รวมถึงเปิดโอกาสและสร้างยอดขายให้ร้านค้าซึ่งเป็นผู้เช่าในศูนย์การค้า มีการช่วยเหลือในการบริหารจัดการทางการเงินของลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการดูแลลดผลกระทบในเรื่องค่าเช่าของลูกค่า พร้อมกับดูแลความแข็งแกร่งด้านการเงินของบริษัท ซึ่งยังเดินหน้าการลดและควบคุมต้นทุนในการดำเนินงานและค่าใช้จ่ายต่างๆ รักษากระแสเงินสดและสภาพคล่องให้เพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง
"เรายังคงเฝ้าติดตาม ทบทวน และปรับเปลี่ยนแผนธุรกิจให้เหมาะสมในแต่ละช่วงเวลา โดยคำนึงถึงประโยชน์ของผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มเป็นหัวใจสำคัญ ตามที่ได้เคยปฏิบัติมาโดยตลอด เพื่อทำให้เรา ลูกค้า และทุกคนผ่านวิกฤติในครั้งนี้ไปด้วยกัน และกลับมามีความแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิม"นางสาวนภารัตน์ กล่าว