นายนิพนธ์ บุญเดชานันทน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ (WHAUP) เปิดเผยว่า การเติบโตของผลการดำเนินงานของบริษัทในไตรมาส 2/64 ว่า สาเหตุหลักมาจากการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของธุรกิจสาธารณูปโภค โดยบริษัทมีปริมาณการจำหน่ายและบริหารน้ำทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมกันเท่ากับ 35 ล้าน ลบ.ม. เพิ่มขึ้น 28% จากไตรมาส 2/63 และเพิ่มขึ้น 10% จากไตรมาส 1/64
สำหรับ 6 เดือนแรกของปี 64 ปริมาณการจำหน่ายน้ำและบริหารน้ำทั้งในประเทศและต่างประเทศ เท่ากับ 67 ล้าน ลบ.ม. เพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบกับ 6 เดือนแรกของปี 63 เนื่องจากความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งจากกลุ่มลูกค้าเดิมที่มีการขยายกำลังการผลิต และลูกค้ารายใหม่เริ่มทยอยเปิดดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เช่น โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ GSRC ของ บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) ขนาด 2,650 เมกะวัตต์ ที่ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ในส่วนของหน่วยผลิตที่ 1 ในเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา
อีกทั้งในไตรมาสที่ 2 และ 6 เดือนแรกของปี 64 บริษัทไม่ได้ผลกระทบจากปัญหาภัยแล้งเหมือนกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
นอกจากนี้บริษัทยังรับรู้รายได้จากการนำน้ำเสียที่ได้จากกระบวนการบำบัด และใช้ใหม่(Wastewater Reclamation) ไปผลิตเป็นน้ำปราศจากแร่ธาตุ (Demineralized Water) และน้ำอุตสาหกรรมคุณภาพสูง (Premium Clarified Water) ส่งผลให้บริษัทสามารถจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม (Value added product) ดังกล่าวในไตรมาส 2 และ 6 เดือนแรกของปี 64 จำนวน 1 ล้าน ลบ.ม. และ 2 ล้าน ลบ.ม. ตามลำดับ คิดเป็นอัตราการเติบโตถึง 139% และ 170% เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส 2/64 และ 6 เดือนแรกของปี 63
ส่วนของธุรกิจสาธารณูปโภคในต่างประเทศก็มีการเติบโตเช่นเดียวกัน เนื่องจากความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยยอดจำหน่ายน้ำในโครงการดวง ริเวอร์ เซอร์เฟส วอเตอร์แพลนท์ (Duong River Surface Water Plant: SDWTP) ที่ประเทศเวียดนามในไตรมาส 2/64 เพิ่มขึ้น 29% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 26% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/64 ในขณะที่ยอดจำหน่ายน้ำ 6 เดือนแรกของปี 64 เพิ่มขึ้น 26% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า
สำหรับผลการดำเนินงานของธุรกิจไฟฟ้านั้น ในไตรมาส 2/64 บริษัทมีส่วนแบ่งกำไรปกติจากธุรกิจไฟฟ้าจำนวน 275 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 62% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปีนี้ โดยมีปัจจัยหลักมาจากกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP ทั้ง 8 แห่งที่มีผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ในขณะที่กลุ่มโรงไฟฟ้า IPP ก็มีผลการดำเนินงานที่ฟื้นตัวจากไตรมาสก่อนหน้า จากการที่โรงไฟฟ้าถ่านหิน Gheco-One ได้กลับมาดำเนินงานหลังจากที่ได้หยุดซ่อมบำรุงตามแผนเป็นเวลา 37 วันในไตรมาส 1/64
อย่างไรก็ตาม ส่วนแบ่งกำไรปกติจากธุรกิจไฟฟ้าของ 6 เดือนแรกของปี 64 จำนวน 445 ล้านบาท ลดลง 10% เมื่อเทียบกับ 6 เดือนแรกของปี 63 โดยมีสาเหตุหลักจากการหยุดซ่อมบำรุงของโรงไฟฟ้า Gheco-One แม้ว่ากลุ่มโรงไฟฟ้า SPP ทั้ง 8 แห่ง มีส่วนแบ่งกำไรปกติเพิ่มขึ้น 43% จากยอดจำหน่ายไฟฟ้าให้ลูกค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ด้านการดำเนินการโครงการพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) นั้น ก็มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน โดยในไตรมาส 2/64 มีรายได้ 53 ล้านบาท จากโครงการ Solar Rooftop ที่เปิดดำเนินการแล้วทั้งสิ้น 46 เมกะวัตต์ โดย ณ สิ้นไตรมาส 2/64 บริษัทฯมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการ Solar Rooftop รวมแล้วทั้งสิ้น 62 เมกะวัตต์ จากเป้าปี 64 ที่วางไว้ 90 เมกะวัตต์ และตั้งเป้าในปี 66 จะขยายธุรกิจ Solar Rooftop ได้ครบ 300 เมกะวัตต์ตามแผนที่วางไว้
ความสำเร็จในการเสนอขายหุ้นกู้ ครั้งที่ 2/2564 มูลค่ารวม 3,500 ล้านบาทในเดือน ก.ค.ที่ผ่านมาได้รับการตอบรับจากนักลงทุนทั้งนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายใหญ่เป็นอย่างดี แม้ว่าจะอยู่ภายใต้สถานการณ์โควิด-19 โดยหุ้นกู้ดังกล่าวแบ่งออกเป็น 3 ชุด อายุ 2-5 ปี และมีอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1.91-2.75 ต่อปี ซึ่งความสำเร็จดังกล่าวสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อพื้นฐานธุรกิจ ความแข็งแกร่งทางการเงิน ตลอดจนศักยภาพการเติบโตของบริษัท ซึ่งยิ่งเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงการเป็นผู้นำในธุรกิจสาธารณูปโภค และธุรกิจพลังงานอย่างครบวงจร
แม้ว่าในปัจจุบันจะมีปัจจัยลบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่บริษัทฯ มีความมั่นใจว่าจะสามารถดำเนินการให้บริการด้านสาธารณูปโภคและไฟฟ้าให้กับลูกค้าของบริษัทฯ ได้อย่างต่อเนื่อง และคาดว่าภาพรวมในครึ่งปีหลังจะมีผลการดำเนินงานที่เติบโตต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก โดยมีปัจจัยหนุนจากทั้งธุรกิจสาธารณูปโภคที่มีแนวโน้มความต้องการใช้น้ำจากลูกค้าที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ของโรงไฟฟ้า GSRC เพิ่มเติมในหน่วยผลิตที่ 2 ในไตรมาส 4/64 ในขณะที่ธุรกิจโรงไฟฟ้าก็ยังได้รับแรงหนุนจากทั้งธรุกิจ IPP และ SPP ที่คาดว่าจะดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง ไม่มีการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนดังเช่นในครึ่งปีแรก รวมถึงธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาที่จะยังคงมีการเติบโตของรายได้อย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นกำลังการผลิตไฟฟ้า
นอกจากนี้บริษัทยังคงมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการด้านนวัตกรรมใหม่ๆ เช่น ระบบการซื้อขายไฟฟ้าแบบ P2P Energy Trading โดยใช้เทคโนโลยี Blockchain รวมถึงการนำระบบกักเก็บพลังงาน Battery Energy Storage System (BESS) มาใช้ควบคู่กับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ เป็นต้นรวมทั้งยังคงแสวงหาโอกาสในการลงทุนเข้าซื้อกิจการ (M&A opportunity) ต่างๆ เพื่อเสริมศักยภาพการเติบโต
"จากแผนการขยายธุรกิจดังกล่าวเป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นการเติบโตทางธุรกิจทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ควบคู่ไปกับการพัฒนานวัตกรรมโซลูชั่นทั้งด้านพลังงานทดแทนและสาธารณูปโภครูปแบบใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านธุรกิจสาธารณูปโภคและธุรกิจพลังงานของภูมิภาค"นายนิพนธ์ กล่าว