บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ.โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ (NOBLE) ที่ระดับ BBB+ ด้วยแนวโน้ม Stable หรือ "คงที่" โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงตราสินค้าของบริษัทที่เป็นที่ยอมรับในตลาดพัฒนาที่อยู่อาศัย กลยุทธ์การสร้างความแตกต่างในสินค้า ตลอดจนสถานะทางการเงินที่ดีของบริษัท นอกจากนี้ ยังสะท้อนถึงผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงปีที่ผ่านมาซึ่งอ่อนตัวลงอันเนื่องมาจากอุปสงค์ในตลาดที่อยู่อาศัยที่ชะลอตัว
สถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่แน่นอนและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลงยังเป็นความเสี่ยงที่อาจกระทบต่ออันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต Stable หรือ "คงที่" สะท้อนถึงความคาดหมายว่าบริษัทจะสามารถประคองตัวผ่านพ้นวงจรขาลงของธุรกิจอสังหา
ริมทรัพย์ไปได้ จากยอดขายคอนโดมิเนียมที่รอการรับรู้รายได้และนโยบายการเก็บเงินดาวน์ที่ค่อนข้างสูงที่ 25%-30% น่าจะช่วยให้บริษัทสามารถบริหารงานก่อสร้างและการโอนคอนโดมิเนียมได้ตามแผนการที่วางไว้
ทริสเรทติ้ง รายงานว่า NOBLE เป็นผู้ประกอบการพัฒนาที่อยู่อาศัยขนาดกลาง ซึ่งก่อตั้งในปี 2534 และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2539 บุคคลในตระกูลธนากิจอำนวยและตระกูลเครือญาติยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทในสัดส่วนรวม 14%
บริษัทมียอดขายเฉลี่ยจากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในช่วงปี 2548-2549 ประมาณ 2,000 ล้านบาทต่อปี โดย 60% ของรายได้มาจากยอดขายบ้านเดี่ยว และ 40% มาจากคอนโดมิเนียม โดยบ้านเดี่ยวมีราคาเฉลี่ยที่ 8.2 ล้านบาทต่อหลัง และคอนโดมิเนียมมีราคาเฉลี่ยที่ 4.7 ล้านบาทต่อยูนิต ทั้งนี้ บริษัทมีความได้เปรียบในการแข่งขันจากชื่อเสียงในการเป็นผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ซึ่งนำเสนอรูปแบบที่อยู่อาศัยที่ทันสมัย มีเอกลักษณ์ และแตกต่างจากผู้ประกอบการรายอื่นๆ
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ยอดขายบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียมของบริษัทในช่วงครึ่งแรกของปี 2550 เท่ากับ 627 ล้านบาท ลดลง 39% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตาม ยอดขายของบริษัทในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2550 ดีขึ้นเป็น 413 ล้านบาท จาก 214 ล้านบาทในช่วงไตรมาสแรกของปี 2550
นอกจากนี้ อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จากการขายในช่วงครึ่งแรกของปี 2550 ลดลงเป็น 16% เนื่องจากการชะลอตัวของตลาดที่อยู่อาศัยและต้นทุนในการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น ณ เดือนมิถุนายน 2550 ยอดเงินกู้ของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 1,904 ล้านบาทซึ่งเป็นผลมาจากการซื้อที่ดินมูลค่า 1,200 ล้านบาทในช่วงต้นปี 2550
อย่างไรก็ตาม ณ เดือนมิถุนายน 2550 บริษัทยังคงรักษาอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนไว้ที่ 38.61% สภาพคล่องทางการเงินของบริษัทยังน่าพอใจ เนื่องจากบริษัทมีบ้านเดี่ยวสร้างเสร็จซึ่งปลอดภาระหนี้อยู่ 1,197 ล้านบาท ณ เดือนสิงหาคม 2550 คาดว่าในช่วงครึ่งหลังของปี 2550 บริษัทจะมียอดขายเพิ่มขึ้นจากการทยอยรับรู้รายได้ของโครงการคอนโดมิเนียม ซึ่ง ณ เดือนสิงหาคม 2550 บริษัทมียอดขายคอนโดมิเนียมที่รอการรับรู้รายได้มูลค่าประมาณ 3,700 ล้านบาท
ความไม่แน่นอนของสถานการณ์ทางการเมืองทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลงอย่างต่อเนื่องและส่งผลให้ความต้องการที่อยู่อาศัยอ่อนตัวลง และแม้ว่าแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยจะค่อยๆ บรรเทาลง แต่ก็คาดว่าอุปสงค์ในที่อยู่อาศัยจะยังคงชะลอตัวต่อไปในช่วงปี 2550-2551
--อินโฟเควสท์ โดย ศศิธร ซิมาภรณ์ โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--