นายปริทัศน์ เพชรอำไพ รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.เมืองไทย แคปปิตอล (MTC) เปิดเผยว่า แนวโน้มของธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังยังคงเห็นการเติบโตขึ้นต่อเนื่อง ตามความต้องการใช้สินเชื่อที่ยังมีค่อนข้างมาก โดยเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อและสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากผลกระทบของสถานการณ์โควิด-19
ขณะเดียวกันในช่วงครึ่งปีหลังของปี 64 บริษัทยังคงเดินหน้าขยายสาขาใหม่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องอีกราว 100 สาขา จากครึ่งปีแรกที่ขยายไปแล้ว 400 สาขา ทำให้ปัจจุบัน MTC มีสาขารวมทั้งสิ้นเกือบ 5,300 สาขาทั่วประเทศ ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการขยายฐานลูกค้าใหม่เข้ามาขอใช้สินเชื่อ โดยตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อในครึ่งปีหลังนี้ไม่ต่ำกว่า 6 พันล้านบาท/เดือน พร้อมปรับเพิ่มเป้าหมายสินเชื่อปีนี้เติบโตไปเป็น 30-35% จากเดิมที่คาดว่าเติบโต 20-25% หลังจากแนวโน้มของสินเชื่อมีการเติบโตดี และครึ่งปีแรกเติบโตสูงกว่าที่บริษัทคาดไว้
นายปริทัศน์ เปิดเผยอีกว่า บริษัทยังไม่มีนโยบายปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมาอีกในช่วงครึ่งปีหลัง จากในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมาเป็นเฉลี่ย 15% ต่อปีต่ำสุดในอุตสาหกรรมแล้ว ส่วนหนึ่งเพื่อช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ให้มีภาระลดลง และเป็นการแข่งขันในตลาดจากที่คู่แข่งปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมาเช่นเดียวกัน
โดยบริษัทมองว่าอัตราดอกเบี้ยที่ปรับลดลงมานั้นส่งผลกระทบต่อกำไรในครึ่งปีแรกบ้างเล็กน้อย แต่เชื่อว่าครึ่งปีหลังจะเห็นกำไรกลับมาฟื้นตัวได้ตั้งแต่ไตรมาส 3/64 จากฐานลูกค้าที่ขอสินเชื่อใหม่เข้ามาเพิ่มที่จะเข้ามาช่วยชดเชยกำไรในส่วนของการลดอัตราดอกเบี้ยลงไปก่อนหน้านี้
"แม้ว่าปัจจุบันสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศยังไม่คลี่คลายลง และยังมีลูกค้าบางกลุ่มได้รับผลกระทบ แต่บริษัทยังยืนยันว่าจะไม่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก เพราะอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยที่บริษัทจัดเก็บนั้นถือว่าเป็นระดับที่ต่ำมากในอุตสาหกรรม และหากมีการพิจารณาปรับลดเพดานอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อรายย่อยบางประเภทลงอีก บริษัทมั่นใจว่าไม่กระทบผลการดำเนินงานแต่อย่างใด เพราะอัตราดอกเบี้ยที่จัดเก็บในปัจจุบันต่ำกว่าเพดานมากเช่นเดียวกัน"นายปริทัศน์ กล่าว
ส่วนแนวโน้มค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทมองว่าจะทรงตัวจากครึ่งปีแรก เนื่องจากในสถานการณ์ปัจจุบันการปล่อยสินเชื่อและการจัดเก็บหนี้ทำได้ค่อนข้างลำบาก จากมาตรการควบคุมที่เข้มงวด และในเรื่องการดูแลความปลอดภัยของพนักงาน ทำให้บริษัทยังคงต้องมีการให้ Incentive กับพนักงานค่อนข้างสูงเพื่อจูงใจในการทำงานปล่อยสินเชื่อและจัดเก็บหนี้ ในภาวะที่การทำงานค่อนข้างมีอุปสรรคการสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ในประเทศ
ด้านทิศทางของสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของบริษัทในช่วงครึ่งปีหลังนี้คาดว่าอาจจะปรับเพิ่มขึ้นได้เล็กน้อยจากครึ่งปีแรกที่ 1.1% จากผลกระทบของโควิด-19 ที่ทำให้ความสามารถในการชำระคืนหนี้ของลูกค้าบางรายลดลงไป แต่บริษัทยังเดินหน้าควบคุมให้ NPL ไม่เกิน 2% เพื่อไม่ให้กระทบต่อการตั้งสำรองฯ และทำให้บริษัทยังมีความสามารถในการทำกำไรที่ดี
"อยากให้นักลงทุนทุกท่านใจเย็นๆ ผมมองว่าต่อจากนี้หลังจากที่เราปรับกลยุทธ์เราเข้าที่แล้ว มั่นใจว่าผลการดำเนินงานของเราจะโตต่อไปทุกไตรมาส และโตต่อไปเรื่อยๆ สินเชื่อก็ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เรายังเน้นการทำงานในธุรกิจที่เราชำนาญเป็นหลัก ปีนี้การทำงานอาจจะยากลำบากนิดหน่อย จากโควิด แต่เรามั่นใจว่านักลงทุนจะเห็นผลงานของเราออกมาดีในครึ่งปีหลังนี้แน่นอน"นายปริทัศน์ กล่าว
บริษัทยังคงมั่นใจการตั้งเป้าพอร์ตสินเชื่อในปี 65 เติบโตเพิ่มขึ้นไปแตะระดับ 1 แสนล้านบาทได้ จากครึ่งปีแรกที่พอร์ตสินเชื่อของบริษัทอยู่ที่ 7.9 หมื่นล้านบาท พร้อมกับการที่จะเร่งกลับมาเปิดสาขาใหม่เพิ่มขึ้นเป็น 600 สาขา/ปี อีกครั้ง หลังจากที่ในช่วงปี 63-64 การเปิดสาขาชะลอลงมาเหลือเปิด 500 สาขา/ปี โดยที่บริษัทยังคงเน้นการขยายฐานลูกค้าให้เพิ่มขึ้นเป็นหลัก เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง