นายดนัยเดช เกตุสุวรรณ บมจ.เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) เปิดเผยว่า บริษัทมีความสนใจในการเข้าไปลงทุนในลักษณะการควบรวมกิจการกับพันธมิตร หรือ Merger&Partnership (M&P) อย่างต่อเนื่องทั้งในไทยและอินโดนีเซีย เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจ ภายใต้กลยุทธ์การสร้างการเติบโต แบบ T-Model ซึ่งจะเข้ามาเสริมความครบเครื่องของบรรจุภัณฑ์ให้กับลูกค้า รวมถึงเสริมความแข็งแกร่งในแต่ละจุดในแต่ละตลาดที่บริษัทได้เข้าไป
"บริษัทสนใจกิจการในประเทศไทย ปัจจุบันก็อยู่ระหว่างดูๆ อยู่ รวมถึงมองโอกาสในการขยายการลงทุนในประเทศอินโดนีเชีย เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีในเรื่องของโพลิเมอร์ ขณะเดียวกันก็มองโอกาสเสริมความแข็งแกร่งทางธุรกิจ ภายหลังได้เข้าลงทุนในประเทศเวียดนาม"นายดนัยเดช กล่าว
สำหรับการทำ M&P ใน 2 บริษัท ได้แก่ PT Indonesia Dirtajaya Aneka Industri Box, PT Bahana Buana Box และ PT Rapipack Asritama (Intan Group) ประเทศอินโดนีเชีย และ Deltalab, S.L (Deltalab) ประเทศสเปน บริษัทฯ ยังคงคาดว่าจะสามารถปิดดีลดังกล่าวได้ภายในไตรมาส 3/64 และจะใช้เงินลงทุนรวมทั้งสิ้นราว 5,000 ล้านบาท ซึ่งยังคงเป็นไปตามแผนที่วางไว้ และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้รายได้ปีนี้ เติบโตแตะ 100,000 ล้านบาท
ขณะที่ยังต้องจับตาดูสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั้งในประเทศและต่างประเทศว่าแนวโน้มจะเป็นอย่างไร ซึ่งที่ผ่านมาในหลายประเทศก็มีการระดมการฉีดวัคซีนกันมากขึ้น บริษัทฯ ก็มีความหวังว่าเรื่องดังจะเป็นส่วนช่วยให้การเปิดประเทศทำได้มากขึ้นในครึ่งปีที่เรื่องอยู่ อย่างไรก็ตาม SCGP ยังคงบริหารจัดการทั้งในเรื่องของ Operation การส่งมอบสินค้าให้กับลูกค้า และการบริหารโลจิสติกส์ เพื่อลดผลกระทบในเรื่องของโควิด-19
ส่วนปัจจัยค่าเงินบาทที่ปรับตัวอ่อนค่า บริษัทฯ คาดว่าอาจกระทบต่อการส่งออกบ้างเล็กน้อย แต่บริษัทก็มีต้นทุนวัตถุดิบทั้งฝั่งนำเข้าและส่งออก ซึ่งค่อนข้างจะมีความสมดุลกัน