นายสุพจน์ สิริกุลภัสสร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เจเอเอส แอสเซ็ท ( J) เปิดเผยถึงความท้าทายของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และพื้นที่เช่าภายใต้สถานการณ์โควิดที่มีการล็อกดาวน์ห้างสรรพสินค้า และพื้นที่เช่าบางส่วนต้องปิดให้บริการตามมาตรการรัฐ ส่งผลให้บริษัทได้รับผลกระทบอยู่บ้าง แต่ร้านค้าประเภทซุปเปอร์มาร์เก็ตยังเปิดให้บริการได้ตามปกติ ประกอบกับ รูปแบบโครงการของเจเอเอส แอสเซ็ท เป็นคอมมูนิตี้มอลล์ หรือลักษณะห้างแบบเปิด ทำให้ผู้บริโภครู้สึกปลอดภัยในการเข้ามาใช้บริการ
อย่างไรก็ดี บริษัทได้มุ่งเน้นมาตรการลดต้นทุนต่อเนื่อง และรักษากระแสเงินสดให้เพียงพอต่อการทำงาน ทำให้มั่นใจว่าภาพรวมทั้งปี 64 บริษัทฯ จะยังคงสามารถทำกำไรสุทธิให้เติบโตอย่างก้าวกระโดดได้
ปัจจุบัน บริษัทมีโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ในรูปแบบศูนย์การค้าชุมชนภายใต้การบริหารแบรนด์ The Jas 4 โครงการ รูปแบบคอนโด Newera 1 โครงการ และพื้นที่เช่าศูนย์ไอทีครบวงจร IT Junction อีกราว 30 สาขา สะท้อนการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ
ขณะที่ในช่วงต้นไตรมาส 4/64 เตรียมเปิดให้บริการศูนย์การค้าชุมชน "JAS GREEN VILLAGE ? KUBON" บนถนนคู้บอน ย่านรามอินทรา เป็นโครงการคอมมูนิตี้มอลล์แห่งที่ 5 ของบริษัทฯ ปัจจุบันมีผู้ให้ความสนใจจองพื้นที่ และสนับสนุนอัตราเช่าพื้นที่ (Occupancy rate) ให้อยู่ในระดับสูงกว่า 90%
ส่วนผลการดำเนินงานของบริษัทในไตรมาส 2/64 แม้เผชิญสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แต่ยังมีผลกำไรสุทธิ 22.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 372.3% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และมีรายได้รวม 96.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนเล็กน้อย ซึ่งอยู่ที่ 95.7 ล้านบาท
สาเหตุสำคัญมาจากการบริหารจัดการโครงการอสังหาริมทรัพย์ได้ตามเป้าหมาย มีรายได้ค่าเช่าเพิ่มขึ้นจากโครงการศูนย์การค้าแห่งใหม่ที่ Jas Village Amata เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา รวมทั้ง โครงการล่าสุดแห่งที่ 5 Jas Green Village คู้บอน ที่เริ่มรับรู้รายได้ค่าเช่าบางส่วนเข้ามา และเตรียมเปิดให้บริการไตรมาส 4/64 ตามกำหนดเดิม สนับสนุนกระแสเงินที่มั่นคงในอนาคต
แม้ผลงานพื้นที่เช่า IT Junction ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด และการรับรู้รายได้คอนโดมิเนียมที่ลดลง แต่บริษัทฯ ยังมุ่งเน้นการบริหารจัดการต้นทุน และควบคุมค่าใช้จ่ายโดยรวมได้ดี ส่งผลให้ภาพรวมผลการดำเนินงานในช่วง 6 เดือนแรกของปี 64 กำไรสุทธิทำได้ 43.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนราว 102.8% ส่วนรายได้รวมอยู่ที่ 221.3 ล้านบาท ลดลง 15.1%