ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 100 จุดเมื่อคืนนี้ (15 ต.ค.) หลังจากมีข่าวว่าธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ในสหรัฐกำลังจัดตั้งกองทุนเพื่อกระตุ้นตลาดตราสารเพื่อการพาณิชย์ ซึ่งข่าวดังกล่าวทำให้นักลงทุนเริ่มกลับมาวิตกกังวลเรื่องปัญหาสินเชื่อตึงตัวและหนี้เสีย นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับแรงกดดันจากราคาน้ำมันดิบที่พุ่งขึ้นเหนือระดับ 86 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ร่วงลง 108.28 จุด หรือ 0.77% ปิดที่ 13,984.80 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ลดลง 13.09 จุด หรือ 0.84% ปิดที่ 1,548.71 จุด และดัชนี Nasdaq รูดลง 25.63 จุด หรือ 0.91% ปิดที่ 2,780.05 จุด
ปริมาณซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ประมาณ 1.29 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นลบมากกว่าหุ้นบวกในอัตราส่วน 3 ต่อ 1 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ประมาณ 3.0 พันล้านหุ้น
ความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะหนี้เสียและปัญหาสินเชื่อเกิดขึ้นหลังจากธนาคารซิตี้กรุ๊ป, แบงก์ ออฟ อเมริกา คอร์ป และเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ประกาศร่วมจัดตั้งกองทุนเพื่อกระตุ้นตลาดตราสารหนี้และสกัดกั้นกองทุนที่เข้ามาลงทุนในพันธบัตรที่เกี่ยวกับการจำนองประเภทซับไพรม์และตราสารหนี้ประเภทอื่นๆ
นอกเหนือจากข่าวดัวกล่าวแล้ว ตลาดยังได้รับปัจจัยลบจากข่าวที่ว่าซิตี้กรุ๊ป ซึ่งเป็นธนาคารขนาดใหญ่สุดของสหรัฐเปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 3 ทรุดตัวลงถึง 57% เนื่องจากธนาคารขาดทุนจากการออกตราสารที่ค้ำโดยสินเชื่อที่อยู่อาศัย (mortgage backed security:MBS) และการตัดบัญชีหนี้สูญ เป็นวงเงินถึง 3 พันล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของซิตี้กรุ๊ปกล่าวว่า ภาวะสินเชื่อผู้บริโภคของสหรัฐมีแนวโน้มที่จะอ่อนแอลงในไตรมาสนี้หลังการผิดนัดชำระหนี้จำนองเพิ่มขึ้น
"ข่าวการจัดตั้งกองทุนและข่าวผลประกอบการที่ทรุดตัวลงอย่างรุนแรงของซิตี้กรุ๊ป ได้ตอกย้ำให้นักลงทุนวิตกกังวลเรื่องปัญหาหนี้เสียและภาวะสินเชื่อตึงตัวในตลาดการเงิน" นายแอรอน เกอร์วิทซ์ นักวิเคราะห์จากเลห์แมน บราเธอร์ส กล่าว
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงกดดันจากราคาน้ำมันดิบที่พุ่งขึ้น 2.44 ดอลลาร์ ปิดที่ 86.13 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) กล่าว่า การผลิตน้ำมันในประเทศนอกกลุ่มโอเปคอาจจะลดน้อยลงแม้ความต้องการเพิ่มขึ้นก็ตาม
ทั้งนี้ หุ้นซิตี้กรุ๊ป ร่วงลง 3.4% หลังจากธนาคารเปิดเผยผลประกอบการที่ลดลงเหนือความคาดหมาย ขณะที่หุ้นเมดทรอนิกดิ่งลง 11% หลังจากบริษัทระงับการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่คาดว่าจะเป็นสาเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 5 ราย
ส่วนหุ้นไบโอเจนทะยานขึ้น 19% หลังจากมีข่าวว่าบริษัทเอกชนหลายรายกำลังให้ความสนใจเข้าซื้อกิจการของไบโอเจน
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.0-2253-5050 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--