นายธงชัย บุศราพันธ์ รองประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บมจ.โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ (NOBLE) กล่าวว่า บริษัทยังคงมุ่งเน้นพัฒนาโครงการแนวราบอย่างต่อเนื่อง รวมถึงโครงการคอนโดมิเนียมแบบ Low Rise (ไม่เกิน 8 ชั้น) เพื่อขยายพอร์ตให้มีสินค้ากระจายและครอบคลุมมากขึ้น อีกทั้งการพัฒนาโครงการในลักษณะดังกล่าว จะช่วยให้บริษัทฯสามารถรับรู้รายได้เร็วขึ้น เนื่องจากใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างน้อยลง โดยวางเป้าหมายจะเพิ่มสัดส่วนของการพัฒนาโครงการแนวราบในพอร์ตเป็น 30% จากปัจจุบันที่มี 10% ส่งผลให้ปัจจุบันบริษัทมีโครงการพร้อมเปิดตัวทั้งแนบราบและคอนโดมิเนียมกว่า 10 โครงการ โดยมีแผนจะพัฒนาโครงการแนวราบหลากหลายทำเล อาทิ ถนนดอนเมือง, ถนนเอกมัย-รามอินทรา, ถนนราชพฤกษ์, ถนนศรีนครินทร์ เป็นต้น
"บริษัทเห็นโอกาสในการเข้าซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการแนวราบมากขึ้น เนื่องจากปัจจัยของโควิด-19 ที่เกิดขึ้น ส่งผลให้เจ้าของที่ดินต่างนำที่ดินออกมาขายทอดตลาดในราคาที่เหมาะสมขึ้น ขณะที่ NOBLE มีความพร้อมทางด้านฐานะทางการเงินที่ดี ซึ่ง ณ สิ้นไตรมาส 2 ที่ผ่านมา บริษัทมีกระแสเงินสดในมือรวมมูลค่ากว่า 1,600 ล้านบาท และมีวงเงินกู้ที่ยังไม่ได้เบิกกว่า 4,500 ล้านบาท ซึ่งสามารถรองรับอัตราการเติบโต และการขยายตัวในภาวะปัจจุบันได้อย่างเพียงพอ"นายธงชัย กล่าว
ส่วนกรณีการปิดแคมป์คนงานก่อสร้างเป็นระยะเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา NOBLE ยังไม่เห็นผลกระทบในแง่การโอนกรรมสิทธิ์ปีนี้ เนื่องจากบริษัทสามารถส่งมอบโครงการได้ตามแผนที่ตั้งไว้ อย่างไรก็ดียอดขาย (Pre-sales) ที่ตั้งไว้ในช่วงต้นปีอาจเปลี่ยนแปลงเนื่องจากการเลื่อนการเปิดโครงการจากสถานการณ์โควิด-19 แต่บริษัทยังคงดำเนินการอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาโครงการเช่น การขอใบอนุญาติที่เกี่ยวข้องในระหว่างที่รอให้สถานการณ์ดีขึ้น ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาส 4/64 โดย ณ สิ้นไตรมาส 2/64 บริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) ในมือมูลค่ารวมประมาณ 11,800 ล้านบาท ซึ่งจะสามารถทยอยรับรู้ภายใน 3 ปีข้างหน้า และมีอัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเท่ากับ 1.19 เท่า
สำหรับความคืบหน้าการลงทุนในสหราชอาณาจักร ล่าสุดบริษัทได้ปิดดีลการซื้อโครงการอสังหาริมทรัพย์แล้ว 2 โครงการ มูลค่าการลงทุนรวมประมาณ 300 ล้านบาท ในเมืองแมนเชสเตอร์ และในชานเมืองลอนดอน โดยอยู่ระหว่างขั้นตอนการตรวจสอบข้อมูลกิจการ (Due Diligence) สุดท้าย ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยง โดยใช้จุดแข็งของ NOBLE ที่มีเครือข่ายในต่างประเทศรวมถึงการมีฐานลูกค้าต่างชาติที่แข็งแกร่ง
ขณะเดียวกันปัจจุบันบริษัทยังมีดีลลงทุนซื้อโครงการในต่างประเทศอีก 2-3 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 1,800 ล้านบาท โดยวางเป้าหมายการลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ในสหราชอาณาจักรในช่วง 3 ปีจากนี้ จะใช้งบลงทุนรวมราว 250 ล้านปอนด์สเตอร์ลิง (ซึ่ง NOBLE จะลงทุนตามสัดส่วน 45% ต่อโครงการ) โดยในปีแรกคาดจะใช้งบลงทุน 25 ล้านปอนด์สเตอร์ลิง หรือราว 1,100 ล้านบาท (ซึ่ง NOBLE จะลงทุนประมาณ 500 ล้านบาท ตามสัดส่วน 45%) และคาดว่าภายใน 3 ปี NOBLE จะมีส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในสัดส่วน 15%-20% ของกำไรสุทธิรวม
นายธงชัย กล่าวว่า บริษัทประสบความสำเร็จจากการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกสิ้นสุด ณ 30 มิ.ย. 64 บริษัทมีรายได้รวมเท่ากับ 4,915 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% YoY และกำไรสุทธิเท่ากับ 786 ล้านบาท เติบโตขึ้น 10% YoY จากการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดและโครงการบ้านที่ก่อสร้างแล้วเสร็จจากลูกค้าคนไทยและต่างประเทศ รวมถึงเป็นผลจากการโอนยอดขายรอโอน (Backlog) และจากยอดขาย (Pre-sales) โครงการที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่ (Ready to move) เช่น โครงการนิว โนเบิล แจ้งวัฒนะ โครงการโนเบิล บี33 สุขุมวิท โครงการโนเบิล เพลินจิต โครงการโนเบิล บี19 สุขุมวิท โครงการโนเบิล อราวน์ สุขุมวิท 33 โครงการโนเบิล แอมเบียนส์ สุขุมวิท 42 และโครงการโนเบิล เกเบิล วัชรพล เป็นต้น
ด้านยอดขาย (Pre-sales) ในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ 4,265 ล้านบาท โดยกว่า 2,500 ล้านบาทเป็นยอดขายมาจากโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่ และอีกกว่า 1,700 ล้านบาทหลักๆมาจากยอดการเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 2 โครงการคือโครงการโนเบิล ฟอร์ม ทองหล่อ และโครงการนิว โนเบิล เซ็นเตอร์ บางนา ประกอบบริษัทได้ประสบความสำเร็จในการออกแคมเปญ LAST PIECE, LAST PRICE สำหรับ 5 โครงการพร้อมอยู่ในช่วงไตรมาส 1/64 ที่ผ่านมา
ขณะที่ยอดขายจากกลุ่มลูกค้าต่างชาติในช่วงครึ่งปีแรกยังคงเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยจะเห็นได้จากส่วนแบ่งทางการตลาดสูงถึง 40% ของยอดขายรวมจากทุกผู้ประกอบการในการขายคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯและปริมณฑลสำหรับลูกค้าต่างชาติในครึ่งปีแรกของปี 2564 สะท้อนถึงเครือข่ายกลุ่มลูกค้าที่แข็งแกร่งของบริษัทฯโดยเฉพาะประเทศจีน เป็นต้น
ด้านผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/64 บริษัทมีรายได้รวม 2,233 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% YoYจากการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดและโครงการบ้านที่ก่อสร้างแล้วเสร็จจากลูกค้าคนไทยและต่างประเทศมากขึ้น ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 302 ล้านบาท ทรงตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็นผลมาจากแรงกดดันจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
นอกจากนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 5/2564 มีมติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลงวดผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกประจำปี 64 จำนวน 0.35 บาทต่อหุ้น รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 479 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทนปันผล (Dividend Yield) ย้อนหลัง 12 เดือนกว่า 10% สะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่ดีในช่วงครึ่งปีแรก โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) ในวันที่ 24 ส.ค. 64 และคาดว่าจะทำการจ่ายเงินปันผลภายในต้นก.ย.นี้