นายธงชัย บุศราพันธ์ รองประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บมจ.โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ (NOBLE) เปิดเผยว่า แนวโน้มของธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังของปี 64 ยังคงได้รับแรงกดดันจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ในประเทศที่ยังไม่คลี่คลายลงอย้างชัดเจน โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 3/64 ที่มอว่าเป็นไตรมาสที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ในปีนี้มากที่สุด เนื่องจากมาตรการล็อกดาวน์ของภาครัฐที่ออกมากระทบต่อแผนการเปิดโครงการใหม่ที่ต้องเลื่อนการเปิดขายออกไป ทำให้โครงการใหม่ที่บริษัทเตรียมความพร้อมในการเปิดในช่วงไตรมาส 3/64 ไม่สามารถเปิดได้ จากมาตรการล็อกดาวน์ และภาวะของภาพรวมตลาดที่ยังไม่เอื้ออำนวย ทำให้ต้องเลื่อนการเปิดโครงการบางส่วนไปในช่วงไตรมาส 4/64 และมีการเลื่อนเปิดบางโครงการไปในปี 65 ส่งผลให้การเปิดโครงการทั้งปีนี้ลดลงเหลือ 8 โครงการ มูลค่ารวม 2.86 หมื่นล้านบาท จากเดิมที่จะเปิด 11 โครงการ มูลค่ารวม 4.51 หมื่นล้านบาท
โดยโครงการส่วนใหญ่ที่เลื่อนการเปิดออกไปในปี 65 เป็นโครงการคอนโดมิเนียม ซึ่งบริษัทมองว่าการขายโครงการคอนโดมิเนียมยังคงต้องรอจังหวะของตลาดที่เริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวกลับมาหลังจากโควิด-19 มีทิศทางคลี่คลายลงมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ภาพของความมั่นใจกลับมา และผู้ซื้อเริ่มกลับมาซื้อและเข้ามาชมห้องตัวอย่างในโครงการอีกครั้ง แต่อย่างไรก็ตามหากสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศสามารถดีขึ้นก่อนเข้าสู่ไตรมาส 4/64 บริษัทก็เตรียมแผนการเปิดโครงการคอนโดมิเนียมในทำเลใจกลางเมือง 3 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 1.8 หมื่นล้านบาท เพื่อเข้ามาช่วยกระตุ้นตลาดและกระตุ้นยอดขายของบริษัทในช่วงโค้งสุดท้ายของปี ส่วนโครงการแนวราบยังมีการซื้ออย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทยังมีการขายโครงการแนวราบที่เปิดขายอยู่ในปัจจุบันต่อเนื่องอีก
ส่วนผลกระทบต่อยอดขายของบริษัทนั้นมองว่าหากการแพร่ระบาดโควิด-19 ต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาส 4/64 มีโอกาสที่จะกระทบต่อยอดขายของบริษัทอย่างแน่นอน เพราะการขายจะยังเห็นภาพของการชะลอต่อเนื่องจากไตรมาส 3/64 และการเปิดโครงการใหม่ที่จะเข้ามาช่วยผลักดันยอดขายในไตรมาส 4/64 ก็จะถูกเลื่อนไปเปิดในปี 65 ทั้งหมด ซึ่งบริษัทมองว่าในสถานการณ์ที่แย่ที่สุดจะสามารถทำยอดขายสิ้นปีนี้ได้ที่ 8 พันล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 1.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งยอดขายในครึ่งปีแรกที่ผ่านมาถือว่าทำได้เพียง 25% ของเป้าที่ตั้งไว้ หรือทพได้กว่า 4.2 พันล้านบาท
ด้านรายได้ของบริษัทยังมั่นใจทำได้ 1.1 หมื่นล้านบาทตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ แม้ว่าในช่วงไตรมาส 3/64 จะรับผลกระทบจากมาตรการปิดแคมป์คนงานที่ทำให้การโอนโครงการต้องเลื่อนออกไปบ้าง ส่งผลให้แผนการรับรู้รายได้ของบริษัทต้องเลื่อนออกไปตามระยะเวลาของมาตรการ และปัจจุบันถือว่าการโอนยังไม่สามารถกลับมาได้อย่างเต็มที่ เพราะยังต้องมีการเตรียมความพร้อมด้านความปลอดภัยก่อนที่จะให้คนงานกลับมาเข้าทำงาน และลูกค้าไม่สามารถเข้ามาเป็นกลุ่มใหญ่ได้ในการตรวจห้อง ส่งผลให้การโอนจะล่าช้าออกไปบ้าง แต่บริษัทเชื่อว่าจะสามารถโอนโครงการให้กับลูกค้าได้ตามแผนที่วางไว้ โดยในช่วงครึ่งปีหลังจะมีการรับรู้รายได้จากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) เข้ามากว่า 4 พันล้านบาท จาก Backlog ทั้งหมด 1.2 หมื่นล้านบาท และยังมีการทยอยขายสินค้าในสต๊อกที่พร้อมโอนอีก 3.5 พันล้านบาท ซึ่งบริษัทจะพยามจะทยอยขายสินค้าพร้อมโอนให้เกือบทั้งหมดภายในสิ้นปีนี้
ด้านการลงทุนอื่นๆของบริษัทนั้นยังมีการเดินหน้าต่อเนื่อง โดยเฉพาะการลงทุนในการเข้าซื้ออสังหาริมทรัพย์ในอังกฤษ หลังจากที่ครึ่งปีแรกบริษัทซื้อที่อยู่อาศัยให้เช่าในอังกฤษไปแล้ว 2 โครงการ ที่เมืองแมนเชสเตอร์ จำนวน 16 ยูนิต มีผู้เช่าแล้ว 13-14 ยูนิต ในช่วงครึ่งปีหลังจะเดินหน้าในการปิดดีลการซื้ออสังหาริมทรัพย์ให้เช่าในอังกฤษเพิ่มอีก 3-4 ดีล โดยใช้เงินลงทุนราว 55 ล้านปอนด์ เพื่อเข้ามาเสริมพอร์ตการลงทุนต่างประเทศของบริษัทให้มีการสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอมากขึ้น และจะยังมีการลงทุนต่อเนื่องอีกในปี 65
นอกจากนี้การลงทุนในธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์ร่วมกับบมจ.ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น (SAWAD) ในการร่วมทุนในบริษัท บริหารสินทรัพย์ เอส ดับบลิว พี จำกัด (SWP) ซึ่งบริษัทถือหุ้น 20% ปัจจุบันได้มีการประมูลหนี้เข้ามาบริหารแล้วมูลค่ากว่า 4 พันล้านบาท และได้มีการแต่งตั้งที่ปรึกษาทางการเงินเพื่อเตรียมตัวเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯในปี 65 โดยที่ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทมองว่ายังมีโอกาสที่ SWP จะเข้าประมูลหนี้ได้เพิ่มเติมอีก จากปัจจุบันที่แนวโน้มหนี้เสียมีการเร่งตัวสูงขึ้น รับผลกระทบจากโควิด-19
ทั้งนี้บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาการออกตั๋วแลกเงินระยะสั้น (B/E) ในช่วงครึ่งปีหลัง เพื่อนำเงินที่ได้จากการออกตั๋ว B/E มารองรับการใช้เข้าประมูลซื้อที่ดินเพื่อนำมาพัฒนาโครงการใหม่ในอนาคต และนำเงินส่วนหนึ่งมาใช้คืนหนี้สถานบันการเงินเพื่อการพัฒนาโครงการ ทำให้บริษัทมีภาระดอกเบี้ยจ่ายลดลง