นายพีท ริมชลา กรรมการผู้จัดการ บมจ.แฮลเซี่ยน เทคโนโลยี่ (HTECH) เปิดเผยว่า บริษัทเชื่อมั่นเทรนด์ธุรกิจขาขึ้น แม้สถานการณ์โควิดกระทบธุรกิจของบริษัทย่อยในบางประเทศ แต่มั่นใจภาพรวมดูดี จึงปรับเป้ารายได้ทั้งปีเป็นเติบโตมากกว่า 10% จากเดิมตั้งเป้าโต 7% ควบคู่ความสามารถในการทำกำไรที่ดีต่อเนื่อง
ภาพรวมผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปี 64 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้รวม 552.09 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 109.86 ล้านบาท หรือเติบโต 24.84% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน กำไรสุทธิส่วนของผู้ถือหุ้นบริษัทใหญ่ 76.25 ล้านบาท เติบโต 288.24% และคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 13.81% เทียบกับครึ่งปีแรกของปี 63 อยู่ที่ 4.44% เนื่องจากในทุกกลุ่มธุรกิจมีอัตรากำไรเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น
โดยเฉพาะธุรกิจผลิตและจำหน่ายกลุ่ม Special Cutting Tools ซึ่งถือเป็นผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนระดับไฮเอนด์ สนับสนุนอัตรากำไรสุทธิในงวดครึ่งปีแรกของปี 64 เทียบกับปี 63 อยู่ที่ 20.15% และ 4.22% ตามลำดับ ผลจากการขยายธุรกิจ นำบริษัทย่อยในอเมริกาเสริมทัพความแข็งแกร่ง ควบคู่การคุมต้นทุนและค่าใช้จ่าย
กลุ่มธุรกิจผลิตและจำหน่ายเครื่องมือที่ใช้ในการตัดโลหะที่มีลักษณะเฉพาะ (Special Cutting Tools) เติบโตสูงสุด มีรายได้ 298.44 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38.39% ขณะที่กำไรสุทธิทำได้ 62.85 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 565.03% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นการเติบโตในทุกส่วนงาน ประกอบด้วยรายได้จากโรงงานของบริษัทใหญ่มีรายได้ 188.74 ล้านบาท จากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ (HDD) ในประเทศซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลัก จากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายในช่วงไตรมาส 2 ก่อนที่จะมีการระบาดระลอกใหม่อีกครั้ง รวมทั้ง มีการย้ายฐานการผลิตกลับเข้ามาในประเทศไทย
นอกจากนี้ บริษัทย่อยในประเทศ เวียดนาม Halcyon Technology Vietnam Co., Ltd. (HV) มีรายได้ 26.72 ล้านบาท ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดค่อนข้างจำกัด รวมทั้ง มีการขยายกำลังการผลิตเพื่อเพิ่มศักยภาพในการขยายงานอย่างต่อเนื่อง และบริษัทย่อยแห่งใหม่ Mastertech Diamond Products Company หรือ "MDP" ในประเทศสหรัฐอเมริกา มีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีรายได้ 82.99 ล้านบาท เทียบกับปีก่อน 17.68 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 369.40% ซึ่งเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้รายได้จากส่วนงานนี้ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน
ขณะที่ธุรกิจนำเข้าและเครื่องมือที่ใช้ในการตัดโลหะ (Standard Cutting Tools) รายได้อยู่ที่ 219.16 ล้านบาท เติบโต 24.30% กำไรสุทธิทำได้ 20.40 ล้านบาท เติบโต 87.35% ประกอบด้วยรายได้จากบริษัทย่อยทั้งในและต่างประเทศ 7 บริษัท ซึ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจในลักษณะซื้อมาขายไปทั้งหมด รวมถึง บริษัทย่อยในประเทศฟิลิปปินส์ที่มีการปิดโรงงานในช่วงปลายปี 2563 และปรับโครงสร้างธุรกิจในลักษณะซื้อมาขายไปเต็มรูปแบบ โดยส่วนใหญ่ฐานลูกค้าอยู่ในกลุ่มยานยนต์ซึ่งฟื้นตัวต่อเนื่องจากไตรมาส 1/64
ส่วนธุรกิจผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์และชิ้นส่วนโลหะขึ้นรูปต่างๆ อยู่ที่ 18.28 ล้านบาท ลดลง 56.36% แต่กำไรสุทธิอยู่ที่ 4.47 ล้านบาท เติบโต 14.66% จากลูกค้าหลักในสหรัฐอเมริกากลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนเครื่องบินได้รับผลกระทบจากโควิด และมีการลดกำลังการผลิตลง แต่มองว่า รายได้กลุ่มนี้จะฟื้นตัวดีขึ้นในครึ่งปีหลัง
"แม้ในสถานการณ์โควิด HTECH เราไม่หยุดนิ่ง เดินหน้าเตรียมพร้อมสำหรับโอกาสการเติบโต โดยกลุ่มลูกค้าหลักในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ฟื้นตัวเร็วกว่ากลุ่มอื่น ซึ่งทั้งกลุ่มบริษัท มีสัดส่วนยอดขายประมาณ 40% ขณะที่ตลาดนี้ใหญ่มาก และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องสอดรับความต้องการใช้ Cloud Technology , IoT และ 5G รวมทั้ง แบรนด์ผู้ผลิตชั้นนำมีการพัฒนาอุปกรณ์จัดเก็บที่มีความจุเพิ่มขึ้น หนุนดีมานด์ฮาร์ดดิสก์ยังคงเติบโต รองลงมา คือกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ที่ฟื้นตัวขึ้นเช่นกัน และมีสัดส่วนยอดขายอยู่ที่ 30% สนับสนุนผลงานในไตรมาส 2/64 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้รวม 288.17 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41.62% กำไรสุทธิส่วนของผู้ถือหุ้นบริษัทใหญ่ 37.07 ล้านบาท เติบโตขึ้นมาก เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 0.85 ล้านบาท ส่งผลให้ผลงานในครึ่งปีแรกเติบโตอย่างน่าประทับใจ และคาดว่าครึ่งปีหลังจะเห็นการเติบโตอย่างต่อเนื่อง"นายพีท กล่าว
นอกจากนี้ MDP บริษัทย่อยที่อเมริกา เป็นผู้ผลิต จัดจำหน่าย และให้บริการหลังการขายสินค้าประเภทเครื่องมือตัดเฉือนโลหะ ประเภท PCD และ PCBN โดยมีกลุ่มลูกค้าอยู่ในอุตสาหกรรมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ และชิ้นส่วนเครื่องบิน อุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ รวมไปถึงอุตสาหกรรมหนักในประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศใกล้เคียง ในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะโดดเด่นต่อเนื่อง จากการเดินหน้าทำงานได้ตามปกติแล้ว ไม่กระทบโควิด โดยในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ทางทีมผู้บริหารได้เดินทางไปเยี่ยมชมโรงงาน ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างติดตั้งเครื่องจักรเพิ่มเพื่อขยายกำลังการผลิต เป็นอีกปัจจัยโดดเด่นที่สนับสนุนการเติบโตของผลประกอบการในปีนี้ทั้งรายได้และกำไร