นายอภิรัช เมืองเกษม รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.ฟลอยด์ (FLOYD) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังว่าจะดีกว่าในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา จากงานในมือบางส่วนที่รอรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาส 2 เลื่อนมาทยอยรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ปีนี้ ส่วนงานอาคารสำนักงาน ลูกค้าที่ต้องการขยายงานก็ยังคงดำเนินการต่อไป นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างประมูลงานใหม่เพิ่มเติมอีก 2-3 งาน เป็นงานของลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่ ซึ่งมีโอกาสได้รับงานสูง
กลยุทธ์ในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทยังเน้นรักษาฐานลูกค้าเดิม กลุ่มห้างค้าปลีก ได้แก่ โฮมโปร ควบคู่การขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ รวมไปถึง งานระบบอาคารสำนักงาน และงานดาต้าเซ็นเตอร์ ของบมจ.เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ (BJC) เป็นต้น นอกจากนี้ ยังเน้นการบริหารจัดการด้านการเงิน และรักษาสภาพคล่องของบริษัทอย่างสม่ำเสมอ และดำเนินการตามระบบการบริหารงานคุณภาพ รวมทั้ง ระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย เพื่อให้ได้การรับรองตามมาตรฐาน ISO9001:2015 & ISO45001:2018
ปัจจุบันบริษัทยื่นประมูลงานโครงการใหม่ทั้งภาครัฐและเอกชนอย่างต่อเนื่อง ใช้จุดแข็งความพร้อมด้านบุคลากร ประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญการให้บริการรับเหมาติดตั้ง งานวิศวกรรมระบบสาธารณูปโภค และระบบดาต้าเซ็นเตอร์ โดย FLOYD เป็นหนึ่งในผู้รับเหมาติดตั้งงานวางระบบวิศวกรรมแบบครบวงจรที่ได้รับการยอมรับทั้งทางด้านคุณภาพ ราคา การตรงต่อเวลา และทีมงานวิศวกรที่มีประสบการณ์และเชี่ยวชาญในธุรกิจ พร้อมรับงานที่จะเร่งทยอยออกมาต่อเนื่องหลังภาพรวมสถานการณ์โควิดมีทิศทางที่ดีขึ้น
นายอภิรัช กล่าวว่า ในช่วงที่มีการปิดไซต์ก่อสร้างที่ผ่านมา บริษัทได้หาแนวทางในการป้องกันการแพร่ระบาด และดำเนินการคัดกรองแรงงาน ในกรณีตรวจพบเชื้อจะทำการแยกตัวแรงงาน เพื่อเข้าสู่ขั้นตอนของสาธารณสุข ในส่วนของผู้ที่ไม่พบเชื้อนั้น บริษัทได้รณรงค์ให้พนักงานและแรงงานเข้ารับการฉีดวัคซีนให้ทั่วถึงและเร็วที่สุด ตามโครงการ "FLOYD 100% Vaccinated Covid-19" พร้อมทั้งบริษัทได้ดำเนินการจัดหาวัคซีนทางเลือกจากราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เพื่อเร่งฉีดให้พนักงาน เจ้าหน้าที่หน้างาน และแรงงานในไซต์ก่อสร้างของบริษัท เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า และเพื่อลดความเสี่ยงของพนักงานและแรงงาน เตรียมพร้อมรับกับการเปิดไซต์ก่อสร้างอีกครั้ง
สำหรับผลประกอบการของบริษัทฯในไตรมาส 2/64 มีรายได้จากการให้บริการ 75.06 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.42 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 25.86% จาก 59.64 ล้านบาทเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยรายได้ที่สำคัญที่เพิ่มขึ้น ประกอบด้วยรายได้จากโครงการแนวราบ อาคารสำนักงาน และดาต้าเซ็นเตอร์
ขณะที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1.93 ล้านบาท ลดลง 0.83 ล้านบาท หรือลดลง 30.07% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 2.76 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทฯได้รับผลกระทบเชิงลบจากการระบาดรอบใหม่ของโควิด-19 ปัจจุบัน บริษัทมีงานในมือที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) 180 ล้านบาท และเตรียมพร้อมประมูลงานใหม่เพิ่มเติม
"ในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา กำไรลดลงเนื่องจากบริษัทฯได้รับผลกระทบเต็มๆ 1 เดือน โดยเฉพาะเดือนมิถุนายน ต้องหยุดการปฏิบัติงานตามมาตรการของภาครัฐที่ปิดไซต์ก่อสร้าง ขณะที่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี บริษัทฯ มุ่งเน้นการทำงานเชิงรุก เพื่อเตรียมพร้อมให้ทันกับโอกาส และเพื่อความปลอดภัยของพนักงาน บริษัทฯ ได้จัดหาวัคซีนป้องกันโควิด-19 มาฉีดให้กับพนักงานทุกคน รวมถึง ผู้เกี่ยวข้องในการปฏิบัติงาน ซึ่งขณะนี้บริษัทฯได้ทำหนังสือขออนุญาตเขตเพื่อเข้าไปทำงาน หลังจากที่พนักงานฉีดวัคซีนครบ 2 โดสแล้ว" นายอภิรัช กล่าว