นายอิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง (TKN) เปิดเผยว่า บริษัทเล็งทบทวนเป้ารายได้ปี 64 หลังจากที่ผลประกอบการช่วงครึ่งปีแรกไม่เป็นไปตามเป้าหมาย แต่ยังคงมั่นใจช่วงครึ่งปีหลังผลประกอบการจะฟื้นตัวดีกว่าช่วงครึ่งปีแรก หลังจากสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ในต่างประเทศเริ่มคลี่คลาย
ด้านตลาดในประเทศจีนมีการปรับกลยุทธ์เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงในการทำตลาด โดยแต่งตั้งตัวแทนจำหน่าย (Distributor) เพิ่มอีก 1 ราย เพื่อกระจายสินค้าเข้าสู่ร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม (Traditional Trade) และช่องทาง E-Commerce จากเดิมที่มีตัวแทนจำหน่ายได้แก่ Pan Orion Corp รับผิดชอบการจัดจำหน่ายสินค้าเข้าสู่ห้างค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) จึงทำให้ทางบริษัทมั่นใจว่า การมี 2 ตัวแทนจำหน่ายในประเทศจีนจะช่วยสร้างการเติบโตของยอดขายได้
สำหรับตลาดสหรัฐฯ มีสัญญาณที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังเริ่มเปิดประเทศในเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยเริ่มเห็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้น ทางบริษัท ได้เดินสายออกบูธงานแสดงสินค้า (Roadshow Exhibition) ประกอบกับมีลูกค้ารายใหม่ที่เป็นเมนสตรีมมาร์เก็ตเข้ามา จึงคาดว่าจะเห็นสัญญานการฟื้นตัวชัดเจนได้ในไตรมาส 3/64 เป็นต้นไป แต่ยังคงต้องติดตามและจัดการปัญหาค่าระวางการขนส่งสินค้าทางเรือรวมถึงราคาค่าตู้คอนเทนเนอร์ที่ยังอยู่ในระดับสูง
ส่วนทิศทางตลาดในประเทศ ยังเผชิญความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดโควิด-19 และมาตรการล็อกดาวน์จากภาครัฐทำให้เศรษฐกิจหยุดชะงักและกำลังซื้อชะลอตัว โดยบริษัทมองว่าการฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ จะเป็นปัจจัยบวกที่สำคัญต่อยอดขายของบริษัท ซึ่งในเบื้องต้นประเมินว่าการแพร่ระบาดจะคลี่คลายในทางที่ดีขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้
และบริษัทยังคงมีแผนนำเสนอสินค้าใหม่ ทั้งสินค้าขนมและเครื่องดื่ม พร้อมทำแคมเปญส่งเสริมการขาย เพื่อสร้างโมเมนตัมให้กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม รวมไปถึงการเพิ่มช่องทางจำหน่ายไปยัง Modern Trade อื่นเพิ่ม เช่น BigC และ Lotus ขณะที่กลุ่มธุรกิจร้านอาหารบริการด่วนหรือ Quick Service Restaurant (QSR) ของบริษัทในเครือ จะมุ่งขยายช่องทางจำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มเดลิเวอรี่มากขึ้น
สำหรับปัญหาการแพร่ระบาดโควิด-19 และมาตรการล็อกดาวน์ทำให้บริษัทประสบปัญหาขาดแคลนแรงงาน ทำให้กำลังการผลิตต่ำกว่าออเดอร์ที่ได้รับเข้ามา ทำให้ออเดอร์ส่งออกไม่เพียงพอ โดยเฉพาะในประเทศจีน ซึ่งคาดว่าผลกระทบนี้ยังขยายต่อไปถึงในไตรมาส 3/64 แต่จะเริ่มคลี่คลายหากสถานการณ์โควิด-19ในประเทศเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น
นายอิทธิพัทธ์ กล่าวว่า บริษัทมีแผนชัดเจนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับพืชกัญชง แต่ยังคงรอความชัดเจนด้านกฎหมาย ซึ่งคาดว่าจะเน้นจำหน่ายไปที่ตลาดต่างประเทศอย่าง สหรัฐฯ หรือ ยุโรป ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ ด้านตลาดในประเทศอาจจะไม่ได้เน้นตัวสารสกัดมาทำเป็นผลิตภัณฑ์ อาจจะใช้เป็นฟังก์ชั่น เช่น เรื่องกลิ่น เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามยังคงต้องรอให้สถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลงก่อน จึงจะเดินหน้าทำผลิตภัณฑ์ดังกล่าว