นายสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.อาร์เอส (RS) กล่าวว่า บริษัทปิดดีลเข้าลงทุนในบริษัท สเปเชียลตี้ โฮลดิ้ง ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำที่เชี่ยวชาญนวัตกรรมด้านการวิจัยพัฒนาและผลิตเครื่องสำอาง อาหารเสริม และยาแผนโบราณ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล รวมถึงเป็นผู้นำด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมสารสกัดธรรมชาติและสมุนไพรไทยที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดย RS เข้าลงทุนในสัดส่วน 33% ด้วยมูลค่าการลงทุน 675 ล้านบาท
"จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้สินค้าเพื่อสุขภาพได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก รวมไปถึงเมกะเทรนด์ที่สำคัญในปีนี้มุ่งเน้นไปที่การดูแลและใส่ใจในเรื่องสุขภาพ ทำให้ตลาดผลิตภัณฑ์อาหารเสริมและวิตามิน มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 63 มีมูลค่าตลาดกว่า 25,000 ล้านบาท ในขณะที่ตลาดส่งออกสมุนไพรไทยได้รับความนิยมทั้งในประเทศและต่างประเทศ และมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเช่นกัน โดยปีที่ผ่านมามีมูลค่าตลาดสูงถึง 8 หมื่นล้านบาท ทำให้ธุรกิจผลิตสารสกัดจากสมุนไพรไทยมีอัตราการเติบโตตามไปด้วย
ขณะที่ธุรกิจคอมเมิร์ซของ RS เน้นจัดจำหน่ายสินค้าสุขภาพและความงามในหลากหลายกลุ่ม และตั้งเป้าเป็นพันธมิตรทางด้านสุขภาพให้กับลูกค้า โดยมี RS Mall เป็นแพลตฟอร์มหลักในการจำหน่ายสินค้าผ่านออนแอร์และออนไลน์ ซึ่งในปีนี้ RS Mall มีรายได้มาจากสินค้าเพื่อสุขภาพถึง 90% และในช่วงที่โรคโควิด-19 ระบาด มีรายได้จากสินค้าเพื่อสุขภาพเพิ่มขึ้นจาก 1.8 พันล้านบาทในปี 62 เป็น 2.1 พันล้านบาทในปี 63 หรือคิดเป็นสัดส่วน 21% ดังนั้น RS จึงมองหาธุรกิจใหม่ที่เข้ามาสนับสนุนการเติบโตและเสริมศักยภาพของธุรกิจคอมเมิร์ซ"นายสุรชัย กล่าว
การเข้าลงทุนใน บริษัท สเปเชียลตี้ โฮลดิ้ง เป็นอีกหนึ่งจิ๊กซอว์สำคัญในการขยายศักยภาพในการพัฒนาวิจัยและผลิตสินค้าเพื่อสุขภาพและความงามของ อาร์เอส กรุ๊ป เพราะ สเปเชียลตี้ โฮลดิ้ง มีนวัตกรรมและความเชี่ยวชาญในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง อาหารเสริม และยาแผนโบราณ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล ทั้งยังเป็นผู้นำด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมสารสกัดธรรมชาติและสมุนไพรไทยที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ในปี 63 กลุ่มธุรกิจสเปเชียลตี้ มีรายได้รวมกว่า 491 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 114 ล้านบาท เติบโตกว่า 8 เท่า เป็นผลมาจากตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและอาหารเสริมเติบโตอย่างต่อเนื่อง และความต้องการสั่งผลิตสินค้ากลุ่มเครื่องสำอาง อาหารเสริม และผลิตภัณฑ์จากสารสกัดธรรมชาติ เพิ่มขึ้นจากลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ ส่งผลให้ต้องเพิ่มกำลังการผลิต เพื่อรองรับการเติบโตตามความต้องการของเทรนด์สุขภาพในปัจจุบัน โดยบริษัท สเปเชียลตี้ โฮลดิ้ง ประกอบไปด้วยบริษัทย่อยดังนี้
1. บริษัท สเปเชียลตี้ เนเชอรัล โปรดักส์ จำกัด ผู้นำแห่งวงการผลิตสารสกัดสมุนไพรไทยและผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรไทย
2. บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น จำกัด ผู้เชี่ยวชาญนวัตกรรมด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อผลิตเครื่องสำอาง อาหารเสริม และยาแผนโบราณ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล รวมถึงเป็นผู้ผลิตแบบครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
3. บริษัท คาเน อินโนเวชั่น จำกัด สร้างสรรค์นวัตกรรมแพคเกจจิ้ง ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นบรรจุภัณฑ์ชนิดอ่อนตัว สามารถออกแบบและผลิตได้หลากหลายรูปแบบ
4. บริษัท เวลโนเวชั่นส์ จำกัด วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ และสร้างแบรนด์สำหรับผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง และอาหารเสริม เพื่อทำตลาดทั้งในและต่างประเทศ
ขณะที่บริษัท สเปเชียลตี้ มีแผนพร้อมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปี 65
"การเข้าร่วมลงทุนในครั้งนี้ เป็นการสร้าง Ecosystem ของ อาร์เอส กรุ๊ป ให้มีขนาดใหญ่ยิ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว และเป็นการสร้าง Synergy ที่แข็งแรง จากการใช้ประโยชน์ร่วมกันทั้งด้านทรัพยากรและจุดแข็งของแต่ละบริษัทตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ได้แก่ การควบคุมคุณภาพตั้งแต่การเพาะปลูก จนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์ โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านการวิจัยและพัฒนามืออาชีพ ภายใต้การผลิตที่ได้มาตรฐานและคุณภาพสูง โดย อาร์เอส กรุ๊ป เป็นผู้ทำการตลาด กระจายสินค้าไปยังช่องทางการจัดจำหน่ายต่างๆ ที่ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย เติมเต็มทุกความต้องการอย่างครบถ้วน มีเทเลเซลล์ กว่า 500 คน ให้บริการลูกค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง มีคลังสินค้าเพื่อการจัดเก็บและบริหารสินค้าด้วยระบบที่มีมาตรฐาน รวมถึงสามารถส่งมอบสินค้าถึงมือลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง
สำคัญการลงทุนในครั้งนี้ RS ยังได้ถือใบอนุญาตในการสกัดและผลิตสินค้ากัญชง-กัญชา ซึ่งจะออกจำหน่ายในช่วงไตรมาส 4/64 นับว่าเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาวร่วมกัน และช่วยเสริมให้ผลการดำเนินงานเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้" นายสุรชัย กล่าว
ทั้งนี้ ผลประกอบการไตรมาส 2/64 ของ RS ทำรายได้รวมทั้งหมด 992 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 54 ล้านบาท รายได้รวมยังคงเติบโต 19% จากปีก่อน จากการเพิ่มขึ้นจากธุรกิจสื่อและบันเทิง ซึ่งเติบโตจากเม็ดเงินโฆษณาที่ฟื้นตัวและรายได้จากการขายคอนเทนต์สู่แพลตฟอร์มออนไลน์ที่เพิ่มขึ้น คาดว่ารายได้ในช่วงครึ่งปีหลังจะเติบโตขึ้นจากการขยายช่องทางการขายผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงาม รวมถึงกลุ่มสินค้าไลน์ใหม่ๆ ไปสู่ตลาดแมสมากขึ้น