นายสุขสันต์ ยศะสินธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ชโย กรุ๊ป (CHAYO) กล่าวถึงแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังปี 64 บริษัทฯ มองว่าผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังมีแนวโน้มจะเติบโตต่อเนื่องตามเป้าหมาย ประกอบกับในไตรมาส 3/64 จะเริ่มต้นเข้าสู่ช่วงที่ทางสถาบันการเงินจะเร่งทยอยขายหนี้ด้อยคุณภาพออกมามากขึ้นและจะมากที่สุดในไตรมาส 4/64
โดยบริษัทได้เพิ่มงบลงทุนเพื่อซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารในปีนี้เป็น 2,500 ล้านบาท จากเดิมที่วางเป้าไว้ที่ 2,000 ล้านบาท แบ่งเป็นงบลงทุนของ CHAYO ประมาณ 1,200 -1,580 ล้านบาท ส่วนอีก 920 ล้านบาท เป็นงบลงทุนของ บริษัท บริหารสินทรัพย์ชโย เจวี จำกัด (Chayo JV)
เงินทุนที่จะใช้ในการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพมาบริหาร มาจากเงินที่บริษัทได้รับจากการแปลงใบสำคัญแสดงสิทธิ CHAYO-W1 จำนวนประมาณ 1,120 ล้านบาท และเงินจากการออกหุ้นกู้อีกประมาณ 1,000 ล้านบาท และเงินสดคงเหลือของบริษัท โดยตั้งเป้าหมายยอดสินเชื่อคงค้าง (Outstanding Loan) ขยับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 1.2-1.5 หมื่นล้านบาท โดยครึ่งปีแรกได้ซื้อหนี้มาเพิ่มแล้วประมาณ 2,300 ล้านบาท ส่งผลให้ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 บริษัทมีพอร์ตหนี้ที่บริหารทั้งสิ้นประมาณ 65,000 ล้านบาท
ในส่วนของรายได้ปีนี้มั่นใจเติบโตทะลุเป้า 25% ได้ตามแผน เนื่องจากแนวโน้มรายได้ในช่วงครึ่งปีหลังเป็นช่วงไฮซีซันของการซื้อ ขายหนี้ด้อยคุณภาพ โดยคาดว่าจะหนุนให้บริษัทสามารถเติบโตได้สูงตามเป้าหมาย คาดว่าครึ่งปีหลังนี้สถาบันการเงินจะนำหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ออกมาขายเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะไตรมาส 4 ซึ่งเข้าสู่ช่วงไฮซีซันของธุรกิจ สถาบันการเงินจะนำ NPL ออกมาขาย เพื่อการบริหารจัดการตัวเลข NPL ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
นายสุขสันต์ กล่าวว่า ผลประกอบการของบริษัทในงวด 6 เดือนแรกของปี 64 มีรายได้รวม 332.75 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 100.85 ล้านบาท หรือ 43.49% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่รายได้รวม 231.90 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 100.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.42 ล้านบาท หรือ 15.47% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภา 105.36 ล้านบาท หลังจากช่วงปลายปี 63 บริษัทได้มีการซื้อพอร์ตหนี้ด้อยคุณภาพชนิดไม่มีหลักประกันมาบริหารเพิ่มเติมมากขึ้น จึงส่งผลให้ในงวดเดือนแรกของปีนี้มีรายเพิ่มมากขึ้น
งวด 6 เดือนของปีนี้ บริษัทมีกำไรขั้นต้นจำนวน 261.91 ล้านบาท หรือคิดเป็น 78.7% ของรายได้ โดยกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 86.12 ล้านบาท โดยสาเหตุของการเพิ่มขึ้นของกำไรขั้นต้นส่วนใหญ่เกิดจากการที่บริษัทมีรายได้จากเงินให้สินเชื่อแก่สินทรัพย์ด้อยคุณภาพเพิ่มขึ้น
ขณะที่ผลประกอบการไตรมาส 2/64 บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 156.31 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35.20 ล้านบาท หรือ 29.06% มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 35.16 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน 14.60 ล้านบาท หรือลดลง 29.34 % โดยมีกำไรขั้นต้น 120.19 ล้านบาท หรือคิดเป็น 76.9% ของรายได้รวม ซึ่งใกล้เคียงกับไตรมาส 2/63 ที่อยู่ที่ 76.1%
"กำไรสุทธิของบริษัทในไตรมาส 2 ที่ลดลง เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน สาเหตุของการลดลงส่วนใหญ่ เป็นผลมาจากค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ซึ่งได้แก่ การเพิ่มขึ้นของผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น การเพิ่มขึ้นของต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น และการลดลงของกำไรจากการขายทรัพย์สินรอการขายลดลง จากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว" นายสุขสันต์ กล่าว