นายบุญชัย ปัณฑุรอัมพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ซาบีน่า (SABINA) เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมทบทวนเป้ารายได้ปีนี้จากที่ตั้งไว้ 3.4 พันล้านบาท หรือกลับไปใกล้เคียงกับปี 62 เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 และมาตรการล็อกดาวน์ล่าสุดกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค แต่คาดว่าในช่วงไตรมาส 4/64 ยอดขายจะฟื้นตัวตามการกระจายฉีดวัคซีนให้ประชาชนและภาคธุรกิจต่างๆ ได้มากขึ้น ซึ่งทำให้สามารถการขายสินค้ากลับมาดำเนินการได้ตามปกติ
"เรามองภาพว่าไตรมาส 3/64 จะคล้ายกับไตรมาส 2/63 เพราะเกิดการล็อกดาวน์เหมือนกัน เพียงแต่ในช่วงปีก่อนลูกค้ายังมีความสุขกับการซื้อของออนไลน์ แต่ในปีนี้เห็นความกังวลมากขึ้น เพราะเป็นการระบาดระลอกที่รุนแรงที่สุด ถูกล็อคดาวน์มากถึง 29 จังหวัด แต่เรายังคงมองว่าในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปียอดขายจะกลับมาดีได้ตามการกระจายฉีดวัคซีนของภาครัฐ ซึ่งจะทำให้ความมั่นใจของผู้บริโภคกลับมา ด้านธุรกิจภาครีเทรลก็จะกลับมาด้วย" นายบุญชัย กล่าว
ในช่วงครึ่งปีหลังยังคงเดินหน้าออกผลิตภัณฑ์ใหม่ในทุกไตรมาส ไม่ว่าจะเป็นแคมเปญช่วงวันแม่ 12 ส.ค. ที่ผ่านมา หรือการ Collaboration กับทาง Havaianas และ Esther Bunny อย่างต่อเนื่อง และยังออกแคมเปญใหม่ ๆ เช่น แคมเปญดีที่ราคา ซึ่งเหมาะสมกับความต้องการของผู้บริโภคในช่วงนี้ อีกทั้งยังคงมุ่งเม้นกลยุทธ์การเข้าถึงและสื่อสารกับผู้บริโภคอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนพนักงานขายหน้าร้านให้เข้าสู่โหมดพนักงานขายออนไลน์ พูดคุยกับลูกค้าผ่านทาง Line official อีกด้วย
และในช่วงปลายปีตั้งเป้าจะมีสาขาทั้งหมด 550 แห่ง ทั้งแบบ Shop, Department Stores, Modern Trade และ Mobile Pop up Store โดยทางบริษัทเน้นพัฒนายอดขายต่อร้านค้าให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ถ้าสาขาไหนที่ยอดขายน้อยก็จะปิดไป ซึ่งไม่ส่งผลกระทบต่อรายได้ของบริษัท เพราะยังมีช่องทางขายออนไลน์ (NSR : Non Store Retailing) ที่รองรับอยู่ด้วย ซึ่งคาดว่ายอดขายทาง NSR ในช่วงสิ้นปีจะคิดเป็นสัดส่วน 25-26% ของบริษัท
ด้านการบริหารจัดการต้นทุน บริษัทยังคงมีแผนควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพและใช้ค่าใช้จ่ายด้านการตลาดอย่างระมัดระวัง ซึ่งคาดว่าระดับอัตรากำไรขั้นต้นในปีนี้ จะอยู่ที่ระดับ 48-50% และสำหรับกำลังการผลิตในปีนี้ตั้งใจจะลดให้ได้ 12% เพื่อไม่ให้มีผลิตภัณฑ์ที่มากเกินไปในช่วงเศรษฐกิจนี้
นายบุญชัย กล่าวว่าปัจจุบันบริษัทได้รับออเดอร์ OEM จากลูกค้าต่างประเทศเข้ามาไปจนถึงเดือน ธ.ค.64 โดย 70% เป็นลูกค้าจากประเทศอังกฤษ และด้านการทำมาร์จิ้นก็ดีขึ้นเนื่องจากเงินบาทเริ่มอ่อนค่าในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา