นางสาววรมน อิงคตานุวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการ และ ประธานเจ้าหน้าที่การเงิน บมจ.ดิ เอราวัณ กรุ๊ป (ERW) เปิดเผยว่า ในปีนี้มีแผนจะขยายเครือข่ายโรงแรม Hop INN ให้เติบโตมากขึ้น โดยจะสร้างใหม่อีก 7 แห่ง ภายหลังจากที่ต้องชะลอการก่อสร้างออกไปเมื่อเดือนก.ค.จากนโยบายภาครัฐเพื่อมุ่งรับลูกค้าในประเทศ ลดการพึ่งพานักท่องเที่ยวต่างชาติที่ยังไม่สามารถเข้ามาได้
ทั้งนี้ บริษัทได้ประเมินอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในช่วงครึ่งปีหลังและปี 65 ว่าขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งเรื่องการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 และการฉีดวัคซีนให้กับประชาชน โดยปัจจุบันประชากรทั่วโลกได้รับวัคซีนเข็มแรกแล้ว 30% ส่วนในประเทศไทยสัดส่วนผู้ได้รับวัคซีนเข็มแรกคิดเป็น 24%
นางสาววรมน กล่าวว่า ทั้ง 2 ปัจจัยจะส่งผลให้เกิดการผ่อนปรนนโยบายควบคุมของรัฐ ซึ่งจะทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติกลับเข้ามา ยกตัวอย่าง เช่น สหรัฐฯ หรือยุโรปที่เปิดประเทศไปแล้วมากกว่า 80% ซึ่งทำให้มีอัตราการเข้าพักฟื้นตัว แต่ประเทศในแถบเอเชียแปซิฟิกประมาณ 70% ยังไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศ เนื่องจากการแพร่ระบาดโควิด-19ยังไม่คลี่คลาย
"เรายังมองว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นสิ่งที่คนให้ความสำคัญ เห็นได้จากประเทศที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าประเทศแล้วอย่างตุรกี ก็ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวรัสเซียและยุโรป หรือ มัลดีฟส์ที่เปิดประเทศตั้งแต่ปลายปี 63 ก็มีอัตราการเข้าพักที่เพิ่มขึ้น เราจึงมั่นใจว่า ถ้ามีการผ่อนคลายนโยบายควบคู่ไปกับมาตรการรักษาความสะอาดที่มีประสิทธิภาพ เราก็มั่นใจว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวก็จะกลับมาฟื้นตัวได้" นางวรมนกล่าว
นางสาววรมน กล่าวว่า โครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ (Phuket Sandbox) ที่เริ่มในช่วงเดือนก.ค.ที่ผ่านมาถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ในการเตรียมความพร้อมกลับมาต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเห็นอัตราการเข้าพักที่ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนพ.ค.-มิ.ย. โดยลูกค้าที่เข้ามามีทั้งสหรัฐฯ อังกฤษ เยอรมัน ฝรั่งเศส รวมถึงประเทศไทย แต่อย่างไรก็ตามยังคงต้องติดตามสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง
ส่วนโรงแรม Hop INN ในฟิลิปปินส์ยังเปิดให้บริการสำหรับลูกค้าที่มีความจำเป็นต้องเดินทางและต้องกักตัว และคาดว่าหากฟิลิปปินส์มีการผ่อนปรนนโยบายก็จะสามารถรับลูกค้ากลุ่มอื่นได้เพิ่มขึ้น อีกทั้งยังมีโครงการก่อสร้างโรงแรมใหม่อีก 3 แห่ง ใช้งบลงทุนราว 700 ล้านบาท