นายฤทธิรงค์ บุญมีโชติ ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มธุรกิจอาหารแช่แข็งและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) เปิดเผยว่า บมจ.ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ (TFM) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของกลุ่ม TU คาดว่าจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) และเข้าจดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์ (SET) ในช่วงเดือน ต.ค.-พ.ย. 64 โดยมี บล.บัวหลวง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
TFM จะเสนอขาย IPO จำนวน 109.3 ล้านหุ้น แบ่งเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุน 90.0 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย TU จำนวน 19.3 ล้านหุ้น รวมทั้งหมดคิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 21.9% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้ โดยจะนำเงินระดมทุนไปใช้ในการขยายธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำในประเทศอินโดนีเซียและปากีสถาน ชำระคืนเงินกู้ยืม และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในอนาคต
การนำ TFM เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯในครั้งนี้เพื่อเป็นการต่อยอดการเติบโต โดยเฉพาะในช่วงอีก 3 ปีข้างหน้าบริษัทคาดว่าจะมีการเติบโตได้อย่างโดดเด่น ประกอบกับการมองหาการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องที่จะเข้ามาต่อยอดธุรกิจของ TFM เพื่อเสริมสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต
แม้ว่าในปี 64 จะมีแรงกดดันจากปัจจัยโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อการบริโภคอาหารสัตว์ ทำให้ยอดขายอาหารสัตว์น้ำยังมีการชะลอตัวอยู่ ซึ่งกลุ่มอาหารสัตว์น้ำเป็นกลุ่มสินค้าที่มีสัดส่วนรายได้มากที่สุดของ TFM ที่ 90% ประกอบกับ ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่ปรับสูงขึ้น ซึ่งกระทบต้นทุนการผลิตของอาหารสัตว์ของ TFM ขณะที่บริษัทยังไม่ได้ปรับขึ้นราคาสินค้าอาหารสัตว์บางรายการเพื่อช่วยลดผลกระทบของลูกค้า ทำให้ปัจจัยดังกล่าวกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรในปี 64 บริษัทจึงมองว่าภาพรวมของผลการดำเนินงานในปีนี้ถือเป็นจุดต่ำที่สุดก่อนจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวในช่วงปี 65 เป็นต้นไป
"ปีนี้ถือว่าเป็นปีที่ TFM ค่อนข้างได้รับผลกระทบจากโควิดมาต่อเนื่อง และราคาวัตถุดิบที่ปรับเพิ่มขึ้นมา โดยเฉพาะราคากากถั่วเหลืองที่ปรับเพิ่มขึ้นมา 30% แต่เรายังไม่มีการปรับราคาขายอาหารกุ้งกับปลา เพราะต้องการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบเช่นกัน แต่มีการปรับราคาขายอาหารสัตว์น้ำจืดไป 3-5% หลังกรมประมงอนุญาตให้ปรับราคาขึ้นได้ แต่ภาพรวมก็จะกระทบต่อกำไรในปีนี้ของ TFM บ้าง ซึ่งเรามองว่าปีนี้คงเป็นปีที่ผลงานของ TFM เป็นปีที่ Bottom แต่เราคงไม่รอให้ฟื้นแล้วค่อยเข้าตลาด เรามองว่าการเข้าตลาดในช่วงนี้เป็นโอกาสที่จะทำให้ TFM มีศักยภาพมากขึ้น สามารถเตรียมความพร้อมต่อยอดการเติบโตเพื่อฟื้นตัวขึ้นในปีหน้าเป็นต้นไป"นายฤทธิรงค์ กล่าว
สำหรับภาพรวมอุตสาหกรรมสัตว์น้ำของประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ เนื่องจากเป็นหนึ่งในผู้นำอุตสาหกรรมประมงที่สำคัญของโลก จากปริมาณผลผลิตสัตว์น้ำที่มีเพียงพอสำหรับส่งออกไปยังตลาดสำคัญทั่วโลก เช่น สหรัฐฯ ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป เป็นต้น โดยผลผลิตสัตว์น้ำที่มีการส่งออกสูง ได้แก่ กุ้งสดแช่เย็น กุ้งสดแช่แข็ง และผลิตภัณฑ์กุ้ง ส่งผลให้ประเทศไทยมีปริมาณการผลิตกุ้งเป็นอันดับ 6 ของโลกในปี 63
ขณะที่แหล่งที่มาของผลผลิตสัตว์น้ำในประเทศมาจาก 2 แหล่งที่สำคัญ คือ การจับสัตว์น้ำจากแหล่งธรรมชาติ และการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยมีการนำเข้าสัตว์น้ำบางประเภทเพื่อนำมาแปรรูปและส่งออก โดยข้อมูลประมาณการของกลุ่มวิจัยและวิเคราะห์สถิติการประมงฯ ประเมินผลผลิตสัตว์น้ำของประเทศไทยในปี 63 ทั้งสิ้นกว่า 3,498,137 ตัน แบ่งเป็นผลผลิตที่มาจากแหล่งน้ำธรรมชาติ 2,553,101 ตัน และมาจากการเพาะเลี้ยงประมาณ 945,036 ตัน
สำหรับอุตสาหกรรมสัตว์น้ำมักจะประกอบไปด้วยหลากหลายภาคธุรกิจที่เชื่อมโยงกัน เริ่มตั้งแต่ธุรกิจต้นน้ำ ได้แก่ ธุรกิจผลิตอาหารสัตว์น้ำ สำหรับใช้เป็นวัตถุดิบให้กับธุรกิจเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ธุรกิจกลางน้ำ ได้แก่ ธุรกิจเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและธุรกิจประมง ซึ่งเป็นผู้จัดหาผลผลิตสัตว์น้ำนำส่งให้แก่ธุรกิจแปรรูปอาหารทะเล และธุรกิจปลายน้ำ เพื่อแปรรูปและเพิ่มมูลค่าอาหารทะเลสดให้อยู่ในรูปแบบที่พร้อมจำหน่ายและส่งออกไปยังตลาดหลักต่างๆ ของโลก
"ทุกธุรกิจที่กล่าวมานั้นล้วนเกี่ยวโยงกันในรูปแบบของ Supply Chain ซึ่งกลุ่ม TU ให้ความสำคัญมากที่สุด เพื่อเสริมความมั่นคงให้กับ Food Supply Chain แก่อุตสาหกรรมอาหารในภูมิภาคเอเชีย"นายฤทธิรงค์ กล่าว
ด้านนายบรรลือศักร โสรัจจกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TFM เปิดเผยว่า แม้ว่าภาพรวมของธุรกิจในปี 64 จะยังได้รับแรงกดดันจากสถานการณ์โควิด และราคาต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับเพิ่มขึ้นสูง แต่เชื่อว่าจะเห็นการฟื้นตัวมากขึ้นในช่วงปี 65 เป็นต้นไป ซึ่งมองว่าสถานการณ์โควิดจะเริ่มคลี่คลายลง และทำให้การบริโภคสัตว์น้ำกลับมาฟื้นตัว และราคาสัตว์น้ำจะเริ่มกลับมาดีขึ้น จากปัจจุบันการบริโภคยังชะลอตัวกดดันราคาขายสัตว์น้ำลดลงตามไปด้วย ส่งผลกระทบต่อผู้เลี้ยงสัตว์น้ำที่มียอดขายลดลงและชะลอการสั่งซื้ออาหารสัตว์น้ำ แต่หากปี 65 สถานการณ์ดีขึ้นจะเห็นการกลับมาฟื้นตัวขึ้นของยอดขายตามภาวะของตลาด คาดว่าจะเห็นยอดขายฟื้นตัวขึ้นสูงกว่าจากปี 64 ที่มียอดขายทรงตัวที่ 4-5 พันล้านบาท
ขณะเดียวกันโรงงานผลิตอาหารสัตว์น้ำใหม่ในประเทศอินโดนีเซียที่บริษัทได้เข้าไปร่วมลงทุนกับพันธมิตรท้องถิ่น 2 ราย จะสามารถเดินเครื่องการผลิตได้เต็มปีในปี 65 ซึ่งจะทำให้ขึ้นเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำรายใหญ่ที่สุดในประเทศอินโดนีเซีย จะเป็นปัจจัยที่เข้ามาสนับสนุนยอดขายอย่างมีนัยสำคัญ โดยโรงงานอยู่ระหว่างการก่อสร้างคาดว่าจะเริ่มติดตั้งเครื่องจักรในช่วงเดือนต.ค. 64 และเริ่มเดินเครื่องผลิตในเดือนพ.ย. 64 ช่วงแรกจะผลิตอาหารกุ้งเป็นหลัก และจะเริ่มขยายไปผลิตอาหารปลา โดย TFM ถือหุ้น 65% มีการลงทุนกว่า 300 ล้านบาทตามสัดส่วนการถือหุ้น จากมูลค่าลงทุนรวม 560 ล้านบาท
นอกจากนี้ หลังจากที่บริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯก็จะมองการขยายธุรกิจเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่องเพื่อเข้ามาต่อยอดการเติบโตในอนาคต โดยเฉพาะในช่วง 3-5 ปีที่คาดว่าตลาดจะเริ่มพลิกฟื้นจากสถานการณ์โควิด โดยจะเน้นการขยายในภูมิภาคเอเชียเป็นหลัก เพราะมองว่าเป็นตลาดใหญ่และยังมีศักยภาพการเติบโตอีกมาก จากปัจจุบันที่บริษัทได้ขยายไปยังในตลาดอินโดนีเซียและปากีสถาน ขณะที่สัดส่วนยอดขายของบริษัทส่วนใหญ่ยังมาจากในประเทศราว 90% และมาจากต่างประเทศเพียงเล็กน้อย 5-10%
บริษัทเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์เศรษฐกิจและผู้นำในอุตสาหกรรมสัตว์น้ำ โดยมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมมานานกว่า 20 ปี สั่งสมองค์ความรู้รวมถึงมีการนำนวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้ในการผลิตสินค้า ปัจจุบันมีการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ของบริษัทฯ ได้แก่ โปรฟีด (PROFEED) นานามิ (NANAMI) อีโก้ฟีด (EGOFEED) แอคควาฟีด (AQUAFEED) และดี-โกรว์ (D-GROW) เป็นต้น แบ่งเป็น 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ได้แก่
-อาหารกุ้ง มีส่วนแบ่งการตลาด 17% ของปริมาณอาหารกุ้งในไทยปี 63 และมีสัดส่วนรายได้จากการขายอาหารกุ้งในไตรมาส 1/64 ที่ 43.3%
-อาหารปลา (รวมอาหารกบและอาหารปู) แบ่งเป็น 4 ประเภท ได้แก่ อาหารปลาทะเล เช่น อาหารปลากะพง ปลาเก๋า, อาหารปลาน้ำจืด เช่น อาหารปลานิล ปลาดุก, อาหารสัตว์น้ำวัยอ่อน สำหรับการอนุบาลลูกปลา และอาหารกบ โดย TFM เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกและเป็นผู้นำในกลุ่มตลาดอาหารปลากระพง ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีราคาและอัตรากำไรค่อนข้างสูงกว่าอาหารปลาประเภทอื่นๆ ส่วนแบ่งการตลาดอาหารปลากะพง 24% ของปริมาณอาหารปลากระพงไทย ในปี 63 และมีสัดส่วนรายได้จากการขายอาหารปลา ณ ไตรมาส 1/64 ที่ 41.4%
-อาหารสัตว์บก แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ อาหารสุกร และอาหารสัตว์ปีก ได้แก่ อาหารไก่ อาหารเป็ด และอาหารนกกระทา โดยบริษัทเริ่มขยายธุรกิจเข้าสู่ธุรกิจอาหารสัตว์บกปลายปี 61 และปริมาณการขายอาหารสัตว์บกมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องเป็นที่น่าพอใจ โดยมีสัดส่วนรายได้ ณ ไตรมาส 1/64 ที่ 10.5%
บริษัทมีกำลังการผลิตอาหารสัตว์รวมทั้งหมด 288,000 ตัน/ปี แบ่งเป็นกำลังการผลิตอาหารกุ้ง 168,000 ตัน/ปี กำลังการผลิตอาหารปลา 90,000 ตัน/ปี และกำลังการผลิตอาหารสัตว์บก 30,000 ตัน/ปี ภายใต้ระบบการผลิตที่ทันสมัยทั้งแบบอัตโนมัติและกึ่งอัตโนมัติที่ควบคุมและสั่งงานด้วยระบบคอมพิวเตอร์ สามารถแสดงคุณสมบัติและคุณภาพของสินค้าแต่ละขั้นตอนการผลิตที่สำคัญทั้งหมดในโรงงานจังหวัดสมุทรสาครและสงขลา จึงทำให้สามารถติดตามข้อมูลในระหว่างกระบวนการผลิตได้ทันที
บริษัทมีกลยุทธ์และแนวทางการดำเนินธุรกิจที่สำคัญ 3 แนวทางเพื่อสร้างการเติบโตในอนาคต ประกอบด้วย การรักษาและพัฒนาความเป็นผู้นำการผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำในประเทศ ผ่านความร่วมมือกับกลุ่มพันธมิตรทางธุรกิจ รวมถึงสนับสนุนการเติบโตของลูกค้าฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำรายเดิมและลูกรายใหม่ โดยเข้าไปศึกษาข้อมูลช่วยแก้ไขปัญหา หรือให้คำแนะนำเกี่ยวกับแนวทางการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอย่างเหมาะสม การพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ ผ่านการลงทุนและจัดหาเทคโนโลยีและนวัตกรรมการผลิตที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นผู้นำธุรกิจอาหารสัตว์น้ำอย่างยั่งยืน และขยายฐานลูกค้าไปยังประเทศที่มีศักยภาพในการเติบโต เริ่มจากประเทศอินเดีย ไปยังปากีสถาน และอินโดนีเซีย เพื่อเป็นตัวแทนของประเทศไทยในฐานะผู้ผลิตอาหารสัตว์เศรษฐกิจเพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารในภูมิภาคเอเชีย
"เรามีประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ รวมถึงมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย จึงมีศักยภาพเติบโตจากตลาดในประเทศ ผ่านการขยายธุรกิจอาหารสัตว์น้ำ อาหารสัตว์ประเภทอื่นๆ และตลาดต่างประเทศผ่านแนวทางต่างๆ เช่น การเข้าทำสัญญาความร่วมมือกับพันธมิตรท้องถิ่น การเข้าจัดตั้งฐานการผลิตในต่างประเทศกับพันธมิตรท้องถิ่น ซึ่งเน้นขยายโอกาสไปสู่ประเทศที่มีการเติบโตสูง ทั้งอินเดียและอินโดนีเซีย เพื่อสร้างความเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต" นายบรรลือศักร กล่าว