ราคาหุ้น EPG ปรับขึ้น 3.17% มาที่ 13.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.40 บาท มูลค่าซื้อขาย 224.58 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.24 น. โดยราคาเปิดที่ 12.80 บาท ราคาสูงสุด 13.10 บาท ราคาต่ำสุด 12.80 บาท
บล.เมย์แบงก์กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บมจ.อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป (EPG) แนวโน้มผลประกอบการ 2Q64/65 (ก.ค. - ก.ย. 2564) ยังมีโมเมนตัม ด้านบวกต่อเนื่อง และ มีแนวโน้มจะทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อ หลังจากที่ไตรมาส 1Q64/65 (เม.ย.-มิ.ย.) สามารถทำสถิติสูงสุดใหม่ มีกำไรสูงถึง 448 ล้านบาท (+11%QoQ, +492%YoY) แรงหนุนการเติบโตทั้งสามธุรกิจ คงประมาณการคาดยอดขายปี 2564/65 เท่ากับ 11,697 ล้านบาท โต 22% และมีกำไรทำสถิติสูงสุดใหม่ 1,652 ล้านบาท โต 36% ประมาณการของเรายังค่อนข้างอนุรักษ์นิยมเพราะ กำไรไตรมาสแรก 1Q64/65 มีสัดส่วนคิดเป็น 27% ของประมาณการทั้งปี
ผู้บริหารมีมุมมองในด้านบวกแนวโน้มผลประกอบการ ปี 2564/65 (เม.ย. 2564 - มี.ค. 2565) จะเติบโตดี คงตั้งเป้ายอดขายประมาณ 11,000 ล้านบาท เติบโต 12-15% และ มีอัตรากำไรขั้นต้น 29%-32% เทียบกับปีก่อน 31.1% ธุรกิจของ EPG ทั้งสามธุรกิจ มีแนวโน้มจะเติบโต คือ 1) ธุรกิจฉนวนยางกันความร้อน/เย็น (AeroFlex) ตั้งเป้าจะเติบโต 10-12% โดยเฉพาะสหรัฐเติบโตสูง ขยายกำลังการผลิตเท่าตัว และ มีอัตรากำไรขั้นต้น 41-43% ใกล้เคียงปีก่อน 2) ธุรกิจอุปกรณ์ชิ้นส่วนและตกแต่งรถยนต์ (AeroKlas) ตั้งเป้าจะเติบโต 20-23% จากส่งออก มีอัตรากำไรขั้นต้น 30-33% ใกล้เคียงปีก่อน และ 3) ธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติก (EPP) ตั้งเป้าหมายจะเติบโต 5-8% และ มีอัตรากำไรขั้นต้น 19-21% ดีขึ้นจากปีก่อน 18.6% เงินบาทอ่อนค่า และ ราคาวัตถุดิบลง ส่งผลบวก
ราคาปิโตรเคมีเคมี ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักของ EPG ปัจจุบันได้อ่อนตัวลง จะทำให้ต้นทุนลดลง ซึ่งต้นทุนวัตถุดิบที่เกี่ยวกับปิโตรเคมีเทียบกับยอดขายของ EPG คือ AeroFlex 20% , AeroKlas 35-40% และ EPP 50% ในขณะที่ EPG ได้ทยอยปรับราคาขึ้นตั้งแต่เดือน เม.ย. ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นคาดจะดีขึ้น และ การอ่อนค่าของเงินบาทจะส่งผลบวกทำให้ยอดขายต่างประเทศที่มีสัดส่วนประมาณ 60-70% มีรายได้เป็นเงินบาทมากขึ้น นอกจากนี้จะได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจากที่ลูกหนี้เป็นดอลลาร์จะมากกว่าเจ้าหนี้ดอลลาร์ ประมาณ 14 ล้านดอลลาร์