โบรกเกอร์ ต่างเชียร์"ซื้อ"หุ้นบมจ.อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป (EPG) คาดการณ์ผลประกอบการงวดไตรมาส 2 ปี 64/65 (ก.ค.-ก.ย.64) และงวดปี 64/65 (เม.ย.64-มี.ค.65) ยังมีโมเมนตัมด้านบวก และคาดจะทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง จาก 3 ธุรกิจมีแนวโน้มเติบโตที่ดี คือ ธุรกิจฉนวนยางกันความร้อน/เย็น (AeroFlex) โดยเฉพาะสหรัฐเติบโตสูง ขยายกำลังการผลิตเท่าตัว และธุรกิจอุปกรณ์ชิ้นส่วนและตกแต่งรถยนต์ (AeroKlas) รวมถึงธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติก (EPP)
นอกจากนี้ ราคาปิโตรเคมีเคมี ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักของ EPG ปัจจุบันอ่อนตัวลงส่งผลให้ต้นทุนลดลง และยังได้รับประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่าด้วย พร้อมคาดว่างวดปี 64/65 ยอดขายจะทะลุ 1.1 หมื่นล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิในช่วง 1,525-1,700 ล้านบาท เติบโต 25-39% YoY
หุ้น EPG ปิดเช้าที่ 13.20 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง ขณะที่ดัชนี SET ปิดเช้าพุ่ง 1.18%
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) เคทีบีเอสที ซื้อ 17.00 ฟินันเซีย ไซรัส ซื้อ 15.50 เคจีไอ ซื้อ 15.50 เมย์แบงก์กิมเอ็ง ซื้อ 15.00
นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า แนวโน้มผลประกอบการ EPG ดีขึ้นทั้งรายได้และกำไร จากทุกธุรกิจและเกือบทุกตลาด โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลัง ชิ้นส่วนยานยนต์ฟื้นแรงตามอุตสาหกรรม ส่วนธุรกิจฉนวน Demand ดีมากโดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯและญี่ปุ่น ส่วนบรรจุภัณฑ์พลาสติกโตสูงตามการ Delivery กลุ่มอาหาร ร้านประดับยนต์ TJM ในออสเตรเลีย มียอดขาย Online ดีมาก
"ครึ่งปีหลังปีนี้ น่าจะเห็นการเติบโตต่อเนื่อง ดีทุกตลาด บาทอ่อนก็ได้ประโยชน์ ทั้งปี 64/65 (เม.ย.64-มี.ค.65) คาดว่ากำไรจะเติบโต 25% มาที่ 1,525 ล้านบาท"นายวีรวัฒน์ กล่าว
ด้าน บล.เคทีบี(ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ฯมีมุมมองบวก โดย EPG ยังมั่นใจรายได้งวดปี 64/65 จะทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 1.1 หมื่นล้านบาท +15% YoY และ GPM จะอยู่ที่ 29%-32% (ปี 63/64 = 31.2%) นอกจากนี้ มีการปรับราคาขายขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะ Aeroflex ที่สหรัฐ ปรับขึ้นในเดือน ส.ค.อีก 6-8%, ขณะที่ TJM ที่ออสเตรเลีย ได้รับผลกระทบจำกัดจากการล็อกดาวน์ เนื่องจากมีคำสั่งซื้อล่วงหน้า 1-2 เดือน แต่หากยกเลิกล็อกดาวน์จะมี pent up demand ทำให้ยอดขายกลับมาเพิ่มขึ้นรวดเร็ว และคาดว่าในงวดไตรมาส 2 ปี 64/65 ทั้งรายได้และ GPM ยังคงมีโมเมนตัมที่ดีขึ้นต่อเนื่อง QoQ
โดยคงประเมินกำไรปี 64/65 โดดเด่นที่ 1.7 พันล้านบาท +39% YoY จากทั้ง 3 ธุรกิจหลักที่เติบโตดีขึ้น ขณะที่กำไรในงวดไตรมาส 2 ปี 64/65 มีโอกาสทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่องจากในงวดไตรมาส 1 ปี 64/65 จาก Aeroflex ที่จะดีขึ้น จากกำลังการผลิตใหม่ในสหรัฐ และมีการปรับราคาขายขึ้น, Aeroklas ได้ผลบวกจากอุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลกที่ฟื้นตัว และ TJM ที่ออสเตรเลียยังคงมีทิศทางเติบโตต่อเนื่อง
ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นและ outperform SET +8% ในช่วง 3 เดือน จากกำไรในงวดไตรมาส 1 ปี 64/65 ที่ดีกว่าคาด คงแนะนำ "ซื้อ" จาก outlook ที่ยังคงสดใส จากเศรษฐกิจของลูกค้าหลักในต่างประเทศ ได้แก่ สหรัฐ, ออสเตรเลีย และยุโรป ที่เติบโตดีขึ้น รวมถึงภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศจะทยอยฟื้นตัวในช่วงที่เหลือของปี ในด้าน valuation ปัจจุบันยังน่าสนใจเทรด ปี 2565 PER ที่ 21 เท่า ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในอดีต ซึ่งมองว่าราคาหุ้นควรเทรด PER ในระดับ premium จากค่าเฉลี่ยในอดีต จากแนวโน้มกำไรปกติปี 64-66 ที่เติบโตได้ดีเฉลี่ยต่อปี 32% CAGR และทำสถิติสูงสุดใหม่ได้ต่อเนื่อง
ส่วนบทวิเคาระห์ฯ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) คาดแนวโน้มผลประกอบการงวดไตรมาส 2 ปี 64/65 (ก.ค.-ก.ย. 64) และงวดปี 64/65 ของ EPG ยังมีโมเมนตัมด้านบวก และคาดจะทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง แรงหนุนการเติบโตทั้งสามธุรกิจ AeroFlex, AeroKlas และ EPP นอกจากนี้ยังได้ผลบวกจากต้นทุนวัตถุดิบราคาปิโตรเคมีปรับลดลง และการอ่อนค่าของเงินบาท จะส่งผลบวกต่อ EPG จากที่มีสัดส่วนยอดขายในต่างประเทศประมาณ 60-70%
ทั้งนี้ ผู้บริหารมีมุมมองในด้านบวกแนวโน้มผลประกอบการงวดปี 64/65 (เม.ย.64-มี.ค.65) จะเติบโตดี คงตั้งเป้ายอดขายประมาณ 11,000 ล้านบาท เติบโต 12-15% และ มีอัตรากำไรขั้นต้น 29%-32% เทียบกับปีก่อน 31.1% ธุรกิจของ EPG ทั้งสามธุรกิจ มีแนวโน้มจะเติบโต คือ ธุรกิจฉนวนยางกันความร้อน/เย็น (AeroFlex) ตั้งเป้าจะเติบโต 10-12% โดยเฉพาะสหรัฐเติบโตสูง ขยายกำลังการผลิตเท่าตัว และ มีอัตรากำไรขั้นต้น 41-43% ใกล้เคียงปีก่อน, ธุรกิจอุปกรณ์ชิ้นส่วนและตกแต่งรถยนต์ (AeroKlas) ตั้งเป้าจะเติบโต 20-23% จากส่งออก มีอัตรากำไรขั้นต้น 30-33% ใกล้เคียงปีก่อน และธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติก (EPP) ตั้งเป้าหมายจะเติบโต 5-8% และมีอัตรากำไรขั้นต้น 19-21% ดีขึ้นจากปีก่อน 18.6%
ราคาปิโตรเคมี ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักของ EPG ปัจจุบันได้อ่อนตัวลงจะทำให้ต้นทุนลดลง ซึ่งต้นทุนวัตถุดิบที่เกี่ยวกับปิโตรเคมีเทียบกับยอดขายของ EPG คือ AeroFlex 20% , AeroKlas 35-40% และ EPP 50% ในขณะที่ EPG ได้ทยอยปรับราคาขึ้นตั้งแต่เดือน เม.ย.ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นคาดจะดีขึ้น และการอ่อนค่าของเงินบาทจะส่งผลบวกทำให้ยอดขายต่างประเทศที่มีสัดส่วนประมาณ 60-70% มีรายได้เป็นเงินบาทมากขึ้น นอกจากนี้จะได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจากที่ลูกหนี้เป็นดอลลาร์มากกว่าเจ้าหนี้ดอลลาร์ประมาณ 14 ล้านดอลลาร์
แนวโน้มผลประกอบการงวดไตรมาส 2 ปี 64/65 ยังมีโมเมนตัมบวกต่อเนื่อง และมีแนวโน้มจะทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อ หลังจากที่งวดไตรมาส 1 ปี 64/65 (เม.ย.-มิ.ย.64) สามารถทำสถิติสูงสุดใหม่ มีกำไรสูงถึง 448 ล้านบาท (+11%QoQ, +492%YoY) แรงหนุนการเติบโตทั้งสามธุรกิจ
พร้อมคงประมาณการคาดยอดขายงวดปี 64/65 เท่ากับ 11,697 ล้านบาท เติบโต 22% และมีกำไรทำสถิติสูงสุดใหม่ 1,652 ล้านบาท เติบโต 36% ประมาณการค่อนข้างอนุรักษ์นิยม เพราะกำไรไตรมาสแรก งวดปี 64/65 มีสัดส่วนคิดเป็น 27% ของประมาณการทั้งปี