นายบดินทร์ เกษมเศรษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซิลิคอน คราฟท์ เทคโนโลยี (SICT) เปิดเผยว่า แนวโน้มในช่วงครึ่งปีหลังของปี 64 คาดว่ากำไรขั้นต้นของบริษัทจะได้รับผลกระทบจากปัญหาการขาดแคลนชิป และการปรับขึ้นราคาของต้นทุนวัตถุดิบ ที่นำมาใช้ผลิตในสินค้าของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับระบบการติดตามสัตว์ (Animal ID) ระบบlส่งสัญญาณรถยนต์ (Immobilizer) และระบบการควบคุมและการติดตามข้อมูล (Access control/reader) ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าหลักของบริษัท ทำให้การผลิตจะมีความล่าช้า และส่งมอบให้กับลูกค้าได้ล่าช้าขึ้น จากปัญหาการขาดแคลนชิป และต้นทุนที่สูงขึ้นทำให้มาร์จิ้นของสินค้าที่ขายให้กับลูกค้าลดลง ทำให้แนวโน้มผลงานในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะชะลอตัวลงจากครึ่งปีแรกที่ทำผลงานได้เป็นสถิติสูงสุดใหม่ (New high) โดยเฉพาะรายได้ทำได้สูงถึง 211 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปีหลังยังมีคลูกค้าสั่งซื้อสินค้าที่เกี่ยวข้องกับระบบติดตามและการส่งสัญญาณเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าใหม่ที่เป็นระบบ NFC ที่เริ่มมีออเดอร์สั่งซื้อเข้ามามากขึ้น ทำให้สัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 5% และจะเป็นกลุ่มสินค้าที่บริษัทจะผลักดันมากขึ้นในอนาคต จากการใช้เทคโนโลยีในปัจจุบันที่อุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ต่างๆมีการนำระบบ NFC มาใช้มากขึ้น
รวมถึงเริ่มขยายไปสู่กลุ่มผู้ประกอบการขายสินค้าแฟชั่นรายใหญ่ที่นำ NFC มาใช้ และในช่วงครึ่งปีหลังนี้จะขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งในการผลักดันให้หันมาใช้ระบบ NFC ทดแทนระบบการติดตามแบบเดิมที่ใช้สติกเกอร์ติดรหัส ซึ่งระบบ NFC ถือว่ามีความสะดวกในการติดตามสินค้ามากกว่าระบบที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ทำให่มีโอกาสในตลาดอีกมากที่จะนำเสนอ NFC เข้าไปสู่ตลาดให้เกิดการใช้จริง
สำหรับในกลุ่มสินค้าหลักของบริษัท 3 ประเภทข้างต้น ยังมีออเดอร์เข้ามาต่อเนื่อง แต่ในช่วงครึ่งปีหลังยังเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนชิปที่ทำให้การผลิตสินค้าเกิดความล่าช้า โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมรถยนต์ที่เผชิญปัญหาซัพพลายเชนการผลิตในปัจจุบัน ส่งผลให้การผลิตสินค้าส่งมอบให้ลูกค้ามีความล่าช้าออกไปทั้งระบบ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่กระทบต่อภาพรวมของผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังนี้ แต่การที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง ถือว่าเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนผลงานของบริษัทในครึ่งปีหลังได้บ้าง โดยที่รายได้ในปีนี้ยังมั่นใจว่าทำได้สูงกว่าปีก่อนขึ้นมาแตะระดับ 400 ล้านบาท จากปีก่อนมีรายได้อยู่ที่ 338 ล้านบาท
ด้านการพัฒนาสินค้าของบริษัทในปัจจุบันอยู่ระหว่างการต่อยอดกลุ่มสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการติดตามสัตว์จากปัจจุบันที่เป็น Animal ID ไปสู่ Animal Health ในการเพิ่มความสามารถของสินค้าเพื่อนำเสนอให้กับลูกค้า และสร้างมูลค่าเพิ่มต่อยอดให้กับสินค้าของบริษัทให้มีความสามารถเพิ่มขึ้น และพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อนำเสนอให้กับลูกค้า รวมถึงการพัฒนากลุ่มสินค้าไปสู่การเป็นอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ ซึ่งได้มีการจัดตั้งบริษัทย่อยใหม่ขึ้นมาเพื่อพัฒนาสินค้าในกลุ่ม Medical device sensor ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนาผลิตภัณฑ์
ขณะเดียวกันบริษัทยังมองถึงโอกาสในการเข้าซื้อเทคโนโลยีที่บริษัทพัฒนาขึ้นเองได้ล่าช้า เพื่อเข้ามาเสริมและเข้ามาเติมเต็มเทคโนโลยีใหม่ๆ ให้กับผลิตภัณฑ์ของบริษัท ซึ่งมีการศึกษาในการเข้าซื้อเทคโนโลยีใหม่เข้ามาเพิ่ม 2-3 ดีล รวมถึงมองหาโอกาสในการร่วมทุนกับพันธมิตรที่เป็นคู่ค้า เพื่อร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีขึ้นมา ซึ่งจะเป็นโอกาสที่บริษัทสามารถต่อยอดธุรกิจให้เติบโตได้ และทำให้ธุรกิจสามารถเดินไปตามแผนงานในการสร้างรายได้แตะ 600 ล้านบาท ภายในปี 66