นายวรวิทย์ เลิศบุษศราคาม รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส บมจ.ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ (TPIPP) เปิดเผยว่า บริษัทคาดผลประกอบการในไตรมาส 3/64 จะเติบโตกว่าไตรมาส 2/64 เนื่องจากบริษัทจะมีรายได้จากการขายเชื้อเพลิงขยะ (RDF) ให้แก่ บมจ.ทีพีไอ โพลีน (TPIPL) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ เข้ามาเต็มไตรมาส โดยประเมินรายได้จาก RDF ทั้งปีที่ 500 ล้านบาท
อีกทั้งบริษัทยังมีการขายไฟฟ้าให้กับโรงงานปูนซีเมนต์ของบริษัทแม่เพิ่มขึ้นด้วย โดยคาดว่าในไตรมาส 3/64 บริษัทจะมีอัตรากำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นมามากกว่า 70% จากไตรมาส 2/64 อยู่ที่ 66% รวมถึงการขายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ตามสัญญาการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการ SPP ก็ยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง
"ทิศทางไตรมาส 3/64 ก็คาดส่าจะเติบโตจากไตรมาส 2/64 ได้ เนื่องจากเรามีการรับรู้รายได้จากการขาย RDF ให้บริษัทแม่ และขายไฟฟ้าให้โรงปูนซีเมนต์ของบริษัทแม่เพิ่มขึ้น ซึ่งก็น่าจะเป็นปัจจัยหนุนให้ครึ่งปีหลังน่าจะเติบโตกว่าครึ่งปีแรก และส่งผลให้ทั้งปีมีรายได้จากการขายไฟฟ้าตามเป้าหมายที่ 11,800 ล้านบาท แบ่งเป็น การขายไฟฟ้าให้กับกฟผ. ตามสัญญา SPP ที่ 8,839 ล้านบาท, การขายไฟฟ้าให้กับ TPIPL หรือบริษัทแม่ ที่ 2,970 ล้านบาท ส่วนรายได้จากการขาย RDF คาดอยู่ที่ 500 ล้านบาทในปีนี้ ซึ่งหากนับรวมกันก็จะทำให้ปีนี้บริษัทฯ มีรายได้รวมทั้งสิ้นราว 12,300 ล้านบาท แต่อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ก็คาดว่ารายได้รวมยังมีโอกาสเติบโตมากกว่านี้" นายวรวิทย์ กล่าว
ขณะที่ไตรมาส 3/64 บริษัทเตรียมลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าขยะ ได้แก่ โรงไฟฟ้าขยะ เทศบาลนครนครราชสีมา กำลังการผลิตติดตั้ง 12 เมกะวัตต์ โดยจะมีการขายไฟฟ้า 9.9 เมกะวัตต์, โรงไฟฟ้าขยะ องค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา กำลังการผลิตติดตั้ง 12 เมกะวัตต์ ขายไฟฟ้า 8 เมกะวัตต์ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการส่งสัญญาให้อัยการสูงสุดพิจารณา คาดว่าจะมีการลงนามภายในไตรมาส 3/64
ขณะเดียวกันโรงไฟฟ้าขยะ จ.สระบุรี กำลังการผลิตติดตั้ง 70 เมกะวัตต์ คาดขายไฟฟ้า 40 เมกะวัตต์ ปัจจุบันอยู่ในการพิจารณาของกระทรวงมหาดไทย แต่คาดว่าจะสามารถลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าได้ในไตรมาสนี้เช่นกัน
นายวรวิทย์ กลาวว่า บริษัทวางงบลงทุนรวมไว้ที่ 5,000 ล้านบาทในปีนี้ สำหรับการพัฒนาแต่ละโครงการดังกล่าว แบ่งเป็น โรงไฟฟ้าขยะ เทศบาลนครราชสีมา จำนวน 2,000 ล้านบาท, โรงไฟฟ้าขยะ องค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา จำนวน 2,000 ล้านบาท และโรงไฟฟ้าขยะ จ.สระบุรี จำนวน 1,000 ล้านบาท โดยแหล่งเงินลงทุนจะมาจากกระแสเงินสดจจากการดำเนินงานที่มีอยู่ราว 5,000 ล้านบาท และการกู้ยืมจากสถาบันการเงิน ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ในระดับต่ำราว 0.5 เท่า จึงเชื่อว่าจะได้รับการสนับสนุนทางการเงินได้ไม่ยาก
บริษัทยังมีความสนใจเข้าประมูลโครงการโรงไฟฟ้าขยะเพิ่มเติมอีก โดยยังคงมุ่งเน้นโรงไฟฟ้า VSPP กำลังการผลิต 9.9 เมกะวัตต์ ในพื้นที่ภาคตะวันออก, ภาคอีสาน และภาคกลาง ซึ่งปัจจุบันก็อยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อเข้าประมูลประมาณ 5-6 โครงการ คาดว่าจะเห็นความชัดเจนมากขึ้นได้ในครึ่งปีหลังนี้เป็นต้นไป โดยได้วางงบลงทุนในโครงการดังกล่าวไว้โครงการละ 2,000 ล้านบาท
สำหรับทิศทางค่า Ft ในครึ่งปีหลังนี้ คาดว่าจะอยู่ในทิศทางขาขึ้น หรือทรงตัว ไม่น่าจะมีการปรับลดลง เนื่องจากราคาค่าพลังงาน และอัตราแลกเปลี่ยนได้ปรับตัวขึ้น ซึ่งค่า Ft ก็จะแปรผันตามปัจจัยดังกล่าว
นายวรวิทย์ กล่าวว่า ความคืบหน้าของโครงการเมืองต้นแบบอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต อำเภอจะนะ จ.สงขลา หรือ โครงการ Southern Economic Zone ที่จะมีการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงแก๊สธรรมชาติ และเป็นส่วนของพลังงานทดแทนนั้น บริษัทฯ ยอมรับว่าด้วยการระบาดของโควิด-19 ที่มีความรุนแรงทำให้การก่อสร้างเป็นไปอย่างล่าช้า ทำให้มีความจำเป็นที่จะต้องเลื่อนกำหนดแล้วเสร็จออกไป
ขณะที่การเจรจาร่วมทุนกับพันธมิตรในจีน เพื่อลงทุนโครงการแบตเตอรี่ในจะนะนั้น ปัจจุบันบริษัทฯ ยังเดินหน้าร่วมกับทางพันธมิตรอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่ามีโอกาสเห็นการดำเนินงานร่วมกันภายในปี 67 หลังจากโครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะ ดำเนินการพัฒนาเสร็จ
บริษัทยังมีแผนปรับปรุงการผลิตในปี 64-65 โดยมีเป้าหมายลดการใช้ถ่านหินในการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้า TG7 TG8 ซึ่งปัจจุบันก็ได้มีการปรับปรุง Modify ให้มีการใช้ RDF เพื่อทดแทนถ่านหิน โดยตั้งเป้าหมายว่าจะลดการใช้ถ่านหินให้น้อยกว่า 10% และใช้ RDF ให้มากกว่า 90% ซึ่งคาดว่าจะต้องใช้เงินลงทุน 300-400 ล้านบาท เริ่มใช้เงินลงทุนในไตรมาส 4/64 หรือไตรมาส 1/65 รวมถึงมีแผนปรับปรุงในส่วนอื่นๆ อีก เช่น ปรับปรุง RDF Boilers เพื่อลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงจากการชัตดาวน์ เป็นต้น