บมจ.ปตท.เคมิคอล (PTTCH) คาดว่ารายได้ในปี 51 จะเติบโตจากปีนี้ แม้ว่าจะมีกำหนดปิดซ่อมบำรุงหน่วยผลิต 4 หน่วยในช่วงไตรมาส 2-ไตรมาส 4 เนื่องจากบริษัทจะมีรายได้จากบริษัท ไทยโอลิโอเคมี(TOL)เข้ามาเต็มที่ และยังเชื่อว่าสเปรดของผลิตภัณฑ์ยังสูงใกล้เคียงกับปีนี้
ส่วนปี 50 คาดว่าจะมีรายได้ใกล้เคียงปีก่อนที่ 7 หมื่นล้านบาท แต่กำไรจะต่ำกว่าปี 49 ที่มีกำไรในระดับ 1.7 หมื่นล้านบาท เนื่องจากในปีนี้มีการปิดซ่อมบำรุงใหญ่ในช่วงไตรมาส 2/50 แม้ว่าราคาทุกผลิตภัณฑ์มีส่วนต่างอยู่ในระดับสูง
"ปี 51 ยังไงรายได้ของเราก็ต้องสูงขึ้นอยู่แล้ว เนื่องจากมีรายได้จากธุรกิจใหม่ ในบริษัท ไทยโอลิโอฯ และยังเชื่อว่า สเปรดจะใกล้เคียงกับปี 50" นายอดิเทพ กล่าว
ในปี 51 บริษัทมีแผนปิดซ่อมบำรุง หน่วยผลิตโอเลฟินส์ โรงที่ 1(Plant/1-Oleflex unit) เป็นเวลา 30 วันในช่วงไตรมาส 2/51
จากนั้น ในช่วงไตรมาส 3/51 จะปิดซ่อมหน่วย MEG Plant เป็นเวลา 35 วัน และ ปิดซ่อมบำรุงหน่วยผลิต BPE Plant เป็นเวลา 30 วัน ส่วนในไตรมาส 4/51 จะปิดซ่อมบำรุงหน่วยผลิต 4-2 เป็นเวลา 50 วัน
ขณะที่ TOLจะเริ่มมีรายได้เข้ามาตั้งแต่ ธ.ค.50 และในปี 51 คาดว่าจะมีรายได้ 6-7 พันล้านบาทจากกำลังการผลิต 3 แสนตันต่อปี
นายอดิเทพ คาดว่า สเปรดหรือส่วนต่างระหว่างวัตถุดิบกับราคาขายโอเลฟินส์ในปีหน้าจะอยู่ในระดับ 470 เหรียญสหรัฐ/ตัน ซึ่งสูงกว่าราคาเฉลี่ยในปี 50 ที่คาดอยู่ที่ 444 เหรียญสหรัฐ/ตัน และ สเปรดของ MEG จะอยู่ที่ 411 เหรียญสหรัฐ/ตัน ซึ่งสูงกว่าปีนี้ที่เฉลี่ยอยู่ที่ 291 เหรียญสหรัฐ/ตัน แต่สเปรดของเม็ดพลาสติก HDPE คาดอยู่ที่ 614 เหรียญสหรัฐ/ตัน ต่ำกว่าปีนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 666 เหรียญสหรัฐ/ตัน
สาเหตุที่ราคาผลิตภัณฑ์ยังอยู่ในระดับสูง เนื่องจากกำลังการผลิต MEG จากประเทศซาอุดิอาระเบียลดลงไป 2.5 ล้านตัน จากเดิมผลิตได้ 5 ล้านตันผลจากการเกิดอุบัติเหตุในโรงงาน ทำให้ราคา MEG ในเดือนธ.ค.กระโดดขี้นมาที่ 1,600 เหรียญ/ตัน และมีแนวโน้มราคาปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องไปถึง ก.พ.51 จนกว่าโรงงานจะซ่อมเสร็จ
"ปีหน้า ยังเชื่อว่าธุรกิจปิโตรเคมียังไม่ใช่ขาลง แต่น่าจะเข้าสู่ขาลงในปี 52 หลังจากที่จำนวนวัตถุดิบจากประเทศตะวันออกกลางเช้ามา" นายอดิเทพ กล่าว
สำหรับราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงนี้ส่งผลกระทบต่อบริษัทเพียงเล็กน้อย เนื่องจากบริษัทใช้แนฟทาเป็นวัตถุดิบในการผลิตเพียง 20-25% แต่บริษัทใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นวัตถุดิบหลัก สัดส่วน 75-80%
นายอดิเทพ กล่าวว่า ในปีหน้าบริษัทมีแผนใช้งบลงทุน 3.43 หมื่นล้านบาทในการขยายกำลังการผลิต และในปี 52 จะลงทุน 1.47 หมื่นล้านบาท แต่ในปี 53-54 ตัวเลขการลงทุนของบริษัทจะลดลงเหลือเพียงหลักพันล้านบาท โดยปี 53 จะใช้เงินลงทุนเพียง 2.69 พันล้านบาท และปี 54 ใช้งบ 1.73 พันล้านบาท เนื่องจากยังไม่มีแผนลงทุนโครงการใหม่
แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาการลงทุนใหม่เพื่อไม่ให้ธุรกิจชะลอตัว ขณะที่การลงทุนในประเทศมีขีดจำกัดด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในจ.ระยอง
"บริษัทก็กำลังศึกษาแผนการลงทุนใหม่ๆเพิ่ม เพื่อขยายเม็ดเงินลงทุนในปี 53-54 เพื่อไม่ให้ cash flow เหลือจำนวนมาก แต่ต้องหาโอกาสการลงทุนที่ดีและเหมาะสม โดยการลงทุนยังเน้นในประเทศ ต่างประเทศก็ยังมีที่เวียดนาม แต่เวียดนามเทคโนโลยีต่างกับเราต้องเสียเวลาในการพัฒนามาก"นายอดิเทพ กล่าว
อนึ่ง บริษัทยังกำหนดวงเงินลงทุนในปี 50-54 ไว้ที่ 9.02 หมื่นล้านบาทตามแผนงาน ไม่ได้ปรับลด แม้ว่างบลงทุนในปี 50 มีปัญหาการเบิกจ่ายล่าช้าประมาณ 2 หมื่นล้านบาท
ส่วนที่ บมจ.ปตท.(PTT)ได้ขายหุ้น PTTCH ออกมา 5% นั้น นายอดิเทพ กล่าวว่า การทำรายการดังกล่าว เพื่อเป็นการเสริมสภาพคล่องให้กับหุ้น PTTCH จากเดิมมีสภาพคล่องเพียง 13% เพิ่มเป็น 18% ทำให้ PTT เหลือสัดส่วนถือหุ้นใน PTTCH เป็น 49% จาก 54% และช่วยให้ PTTCH สามารถหาพันธมิตรธุรกิจร่วมทุนได้ง่ายขึ้น
--อินโฟเควสท์ โดย สารภี สายะเวส/เสาวลักษณ์/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--