นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) เปิดเผยว่า ทิศทางการดำเนินงานในครึ่งปีหลังของแต่ละธุรกิจยังเป็นไปในทิศทางที่ดี
ธุรกิจโรงกลั่น (Refinery Business) คาดว่าในไตรมาส 3/64 จะสามารถมีกำไรสต็อกน้ำมัน (Stock gain) หลังคาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบจะเฉลี่ยที่ 60-70 เหรียญบาร์เรล/วัน
รวมทั้งครึ่งปีหลังบริษัทยังใช้กำลังการกลั่นได้อย่างเต็มที่ และเพิ่มสัดส่วนการกลั่น Unconverted Oil (UCO) ซึ่งเป็นสารตั้งต้นหลักในการผลิตน้ำมันหล่อลื่น เป็น 10% จากเดิม 5% ช่วยให้ค่าการกลั่นต่อหน่วยถูกลง และยังยืดระยะเวลาการซ่อมบำรุงโรงกลั่นครั้งใหญ่ จากเดิมประมาณทุกๆ ปีครึ่ง มาเป็น 3 ปี/ครั้ง ถือเป็นการลดค่าใช้จ่ายได้อย่างมีนัยสำคัญ
ด้านค่าการกลั่นในครึ่งปีหลังนี้คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น จากความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น หลังเข้าสู่ช่วงฤดูหนาวของสหรัฐฯ ในเดือน ก.ค.-ส.ค.64 และจะส่งผลให้ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นด้วย
ด้านธุรกิจการค้าน้ำมัน ตั้งเป้ากำไรก่อนหักค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ในปีนี้ราว 8-10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่อยู่ในระดับ 6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากการมุ่งเน้นกลยุทธ์การขยายสัดส่วนการซื้อ-ขายน้ำมันแบบ Out-Out หรือจัดหาน้ำมันจากผู้ผลิตในต่างประเทศเพื่อจัดจำหน่ายให้กับลูกค้าในต่างประเทศ
ธุรกิจการตลาด (Marketing Business) ในส่วนของสถานีบริการน้ำมันบางจาก ในครึ่งปีหลังคาดว่าปริมาณการขายน้ำมันจะลดลงจากผลกระทบของโควิด-19 เนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันอากาศยาน (JET) ยังลดลงต่อเนื่อง แต่บริษัทจะมีรายได้จากการขาย UCO เพิ่มขึ้นมาทดแทน
ขณะที่ปัจจุบันบริษัทมีสถานีบริการน้ำมันบางจาก 1,247 แห่ง และจะขยายเพิ่มเป็น 1,310 แห่งภายในสิ้นปีนี้ โดยปีนี้จะมีปั๊มที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว (Unique Design Service Station) จำนวน 61 แห่ง จากปัจจุบันอยู่ที่ 39 แห่ง และจะมี Food Truck ในปั๊มเพิ่มเป็น 10 แห่ง จากปัจจุบันมี 2 แห่ง
ร้านกาแฟอินทนิล มียอดขายเติบโตขึ้น โดยเฉพาะจากการขายผ่านช่องทางออนไลน์ โดยบริษัทฯ ยังคงเดินหน้าขยายสาขาร้านอินทนิลอย่างต่อเนื่อง โดยสิ้นปีคาดว่าจะมี 800 สาขา จากปัจจุบันอยู่ที่ 711 สาขา และเพิ่มเป็น 1,000 แห่งในปี 65
ส่วนธุรกิจ EV Chargers คาดว่าสิ้นปีจะมี Chargers 110-120 แห่ง และมีแผนต่อยอดกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเพิ่มเติม 300 แห่งใน 3 ปีข้างหน้า รวมถึงการขยาย Vendind Machine ด้วย ซึ่งร่วมกับโลตัส
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าภายใน 5 ปีจากนี้จะมี EBITDA จากการขายน้ำมันที่ 50% และ Non-retail & Non-Oil ที่ 50% จากปัจจุบันที่มี EBIDTA 70% มาจากการขายน้ำมันผ่านสถานีบริการน้ำมัน ส่วน 30% เป็นรายได้ที่ไม่ใช่การขายน้ำมันผ่านปั๊ม เช่น น้ำมันเครื่อง และ Non-oil
นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า ส่วนธุรกิจโรงไฟฟ้า ปีนี้จะเริ่มรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำในสปป.ลาว ซึ่งจากปริมาณฝนตกค่อนข้างมากในช่วงไตรมาส 3-4 นี้น่าจะทำให้รายได้จากโครงการพลังงานน้ำในลาวเข้ามามากพอสมควร ขณะเดียวกันในช่วงปลายปีนี้ โรงไฟฟ้าที่ญี่ปุ่นจะดำเนินก่อสร้างแล้วเสร็จภายในไตรมาส 4/64 และจะจำหน่ายเชิงพาณิชย์ได้ (COD) รวม 2 โรง ประกอบด้วย Yabuki 20 เมกะวัตต์ และ Chiba 1 กำลังการผลิต 20 เมกะวัตต์ ซึ่งจะเข้ามาหนุนธุรกิจโรงไฟฟ้าได้พอสมควร
นายชัยวัฒน์ ยังกล่าวถึงความคืบหน้าการนำบมจ. บีบีจีไอ (BBGI) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (SET) คาดว่าสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จะนับหนึ่งแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ในช่วงเดือน ก.ย. นี้ และคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนใน SET ได้ในช่วงไตรมาส 1/65
ปัจจุบัน BBGI ได้ขยายธุรกิจไปสู่ B2C มากขึ้น โดยเฉพาะในส่วนที่เป็น Biobased Product ต่างๆ ที่ไม่ใช่ Biofuel หรือเชื้อเพลิงธรรมชาติ โดยขณะนี้ได้เริ่มนำ Astaxanthain ingredients ที่เป็นตัวช่วยลดรอยย่น มาจำหน่ายแล้วภายใต้แบรนด์ B Nature Plus และยังมีการนำ Biobased ต่อยอด เช่น น้ำยาล้างผักโดยแบคทีเรีย หรือการล้างแบบชีวภาพ
ส่วนการลงทุนใน Manus Bio Inc. สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผู้นำธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพมูลค่าสูง (high value bio-based products) ด้วยเทคโนโลยีชีวนวัตกรรมกระบวนการหมักขั้นสูง และได้ตั้งบริษัทร่วมทุน ภายใต้ชื่อ Win Ingredients Co.,Ltd.?s ดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพในภูมิภาคอาเซียน รวมถึงญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ โดย BBGI ถือหุ้นใหญ่ 51% นั้น ปัจจุบันทาง Manus Bio lnc. ก็อยู่ระหว่างเตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯช่วงปลายปีนี้ รวมถึงผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ทำร่วมกันก็ได้จดลิขสิทธิ์ทั้งในสหรับและไทย
อย่างไรก็ตาม BBGI ตั้งเป้าหมายผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ไม่ใช่เชื้อเพลิงชีวภาพ จะมีสัดส่วน EBITDA อยู่ที่ระดับ 33% ในปี 67 และเพิ่มเป็น 50% ในปี 69
ด้านธุรกิจต้นน้ำ (Natural Resources Business) โดย OKEA ถือเป็นปีที่ดีอีกปีหนึ่ง จากราคา GAS และ น้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ มีสัดส่วนการผลิตทั้งจาก Gas คิดเป็น 50% และน้ำมัน 50% อีกทั้งยังมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น จากแหล่งใหม่ คือ Yme ซึ่งคาดว่าจะมีน้ำมันหยดแรกออกจากบ่อ ประมาณ ปลายเดือนก.ย.-ต้นเดือนต.ค. นี้ ทำให้มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น ในจังหวะน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง ประมาณ 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยคาดว่าจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 5,600 บาร์เรล/วัน ซึ่งจะทำให้ทั้งกระแสเงินและผลประกอบการของ OKEA ปีนี้ แข็งแกร่งมากขึ้น ขณะเดียวกันบริษัทฯ ยังมีแผนที่จะเข้าซื้อกิจการในแหล่งอื่นในแถบทะเลเหนือ หรือนอร์เวย์เพิ่มเติม
นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า ส่วนงบลงทุนในช่วง 5 ปี (65-69) บริษัทตั้งงบลงทุนไว้ที่ 88,000 ล้านบาท โดยจะเป็นในธุรกิจ BCPG 73% ซึ่งจะเป็นการขยายพอร์ตโรงไฟฟ้าสีเขียวมากขึ้น เพื่อเข้าสู่ Carbon?neutral ให้ได้เร็วที่สุด ส่วนที่เหลือจะเป็นเรื่องธุรกิจโรงกลั่น BBGI และธุรกิจใหม่ที่อยู่ระหว่างการพิจารณา