นายสุกิจ งามสง่าพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบัญชีและการเงิน บมจ.ดุสิตธานี (DUSIT) เปิดเผยว่าบริษัทคาดว่าผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังจะมีสัดส่วนรายได้หลักมาจากธุรกิจโรงแรมในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นในพื้นที่ตะวันออกกลาง, สหรัฐฯ, จีน, มัลดีฟส์ หรือ ฟิลิปปินส์ หลังจากถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย ทำให้อัตราการเข้าพักฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในมัลดีฟส์และฟิลิปปินส์ ปัจจุบันมีอัตราการเข้าพักอยู่ที่ 70-80%
ด้านธุรกิจโรงแรมภายในประเทศ ยังคงขึ้นกับการเดินหน้าฉีดวัคซีนของภาครัฐ แต่คาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวในไตรมาส 4/64 หรือช่วงต้นปี 65 จากการผ่อนปรนนโยบายคุมเข้มของภาครัฐ รวมไปถึงดีมานด์ของผู้บริโภคที่อั้นไว้ในช่วงล็อกดาวน์จะส่งผลให้การเดินทางในประเทศทยอยกลับมาเหมือนในช่วงปลายปี 63
สำหรับโครงการนำร่อง Phuket Sandbox ยังมีกระแสตอบรับที่ดีจากนักท่องเที่ยว โดยในช่วงเดือน ก.ค.ที่ผ่านมามีอัตราการเข้าพักอยู่ที่ 45% และคาดว่าแรงสนับสนุนจากโครงการภาครัฐอีกหลายโครงการจะช่วยให้มีอัตราการเข้าพักที่ฟื้นกลับมาได้
"เรามองว่าธุรกิจโรงแรมภายในประเทศยังคงขึ้นอยู่กับการฉีดวัคซีนรวมไปถึงความคืบหน้าของโครงการต่างๆที่ภาครัฐช่วยผลักดันเรื่องการท่องเที่ยว โดยเราเห็นการฟื้นตัวในช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้าที่จะกลับเข้ามา แต่ยังคงไม่สามารถกลับไปแตะในระดับเดียวกับช่วงก่อนที่มีโควิด-19ได้ คาดว่าอาจจะได้เห็นในช่วงปี 66-67
ทางบริษัทเองก็ติดตามสถานการณ์และปรับแผนการดำเนินงานเพื่อไม่ให้พึ่งพิงรายได้จากโรงแรมเพียงอย่างเดียว อย่างตอนนี้รายได้จากโรงแรมก็มีสัดส่วนอยู่ที่ 40% จากปีก่อนที่มีสัดส่วน 58% เราก็ขยายไปธุรกิจอื่นอย่าง Food, Property หรือธุรกิจด้านอื่นๆด้วย" นายสุกิจกล่าว
นายสุกิจ กล่าวว่า โครงการ Dusit Central Park ได้ดำเนินการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานเสร็จเรียบร้อยแล้ว และปัจจุบันมียอดขายอยู่ที่ 30% แม้จะยังไม่ได้เปิดขายอย่างเป็นทางการ และคาดว่าในช่วงสิ้นปีนี้จะมียอดขายอยู่ที่ 50% ด้านโครงการ The Hampton Sriracha มียอดขายอยู่ที่ 71% และยังคงมีแผนการขายอย่างต่อเนื่อง