นายไท จิราธิวัฒน์ รองประธานฝ่ายการเงิน บมจ.เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น (CRC) เปิดเผยว่า แนวโน้มยอดขายของบริษัทในปี 64 คาดว่าจะติดลบเป็นตัวเลขหลักเดียวในระดับที่ต่ำ (Low single digit) จากเดิมที่บริษัทคาดว่ายอดขายในปีนี้จะเติบโตได้ราว 10% เนื่องจากรับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ยืดเยื้อตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2/64 เป็นต้นมาถึงปัจจุบัน และภาครัฐใช้มาตรการล็อกดาวน์พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ทำให้สาขาของบริษัทต้องปิดให้บริการในชั่วคราว โดยเฉพาะสาขาในกรุงเทพฯและปริมณฑลที่มีจำนวนมาก ทำให้บริษัทรับผลกระทบต่อยอดขายค่อนข้างมาก
ขณะเดียวกัน สาขาในประเทศเวียดนามยังได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์เช่นเดียวกัน จึงเป็นแรงกดดันต่อภาพรวมของยอดขายของบริษัท แต่ยังมีสาขาในอิตาลีที่ยังสามารถช่วยพยุงยอดขายเข้ามาได้เป็นบางส่วน หลังจากประเทศในยุโรปกลับมาเปิดเมืองและไม่มีการล็อกดาวน์อีกครั้ง แต่ยอดขายอิตาลียังมีสัดส่วนไม่มากเมื่อเทียบกับภาพรวม จึงไม่ได้ส่งผลให้ยอดขายรวมกลับมาฟื้นตัวได้มากนัก
แม้ว่าในวันที่ 1 ก.ย.ที่จะถึงนี้ ภาครัฐจะมีการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ให้เปิดศูนย์การค้าได้ ทำให้สาขาของบริษัทจะกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้ง แต่ยังมองว่าจำนวนผู้เข้าใช้บริการในศูนย์การค้ายังไม่กลับมามาก เพราะยังมีมาตรการควบคุมในการเข้าใช้บริการ ประกอบกับช่วงนี้คนยังทำงานอยู่ที่บ้านต่ออีกระยะ และอาจยังมีความกังวลในเรื่องการแพร่ระบาดโควิด-19 จากจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันที่ยังสูง แม้ว่าจะลดลงมาบ้างแล้ว ทำให้เดือน ก.ย.นี้จะยังไม่เห็นการกลับมาฟื้นตัวอย่างชัดเจน
นายไท กล่าวว่า บริษัทคาดว่าธุรกิจของ CRC จะเริ่มเห็นการฟื้นตัวที่ชัดเจนมากขึ้นในช่วงไตรมาส 4/64 หากสถานการณ์โควิด-19 เริ่มมีจำนวนผู้ติดเชื้อลดลงตามลำดับ และไม่กลับมาระบาดระลอกใหม่จนทำให้ต้องกลับมาล็อกดาวน์อีกครั้ง ซึ่งหากสาขาของบริษัทสามารถเปิดได้อย่างเต็มที่ทั้งหมดในช่วงไตรมาส 4/64 และคนทยอยกลับมาใช้บริการศูนย์การค้า กลับมาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น จะทำให้การฟื้นตัวของผลงานกลับมาดีขึ้นอีกครั้งในช่วงโค้งสุดท้ายของปี แต่ยังคงต้องติดตามในเรื่องของกำลังซื้อว่าจะเป็นอย่างไร หลังจากที่คนส่วนใหญ่ถูกผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้รายได้อาจจะลดลงไป และกระทบต่อการตัดสินใจในการจับจ่ายใช้สอย
อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์การขายของบริษัทในขณะนี้ยังคงเน้น Omni Chanel ครอบคลุมทุกช่องทางในการขายทั้งการขายผ่านสาขา และการขายผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งเป็นการสร้างโอกาสในการขายให้กับบริษัทได้มากขึ้น โดยเพาะในช่วงล็อกดาวน์ที่ยอดขายจากช่องทางออนไลน์ยังมีเข้ามาช่วยสร้างยอดขายในระดับหนึ่งได้
จากการที่ในปี 64 ถือเป็นอีกปีหนึ่งที่บริษัทมีแรงกดดันจากปัจจัยโควิด-19 เข้ามามาก โดยเฉพาะในไทยและเวียดนาม ส่งผลให้ปีนี้บริษัทจะต้องมีการลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆลง รวมถึงการรักษากระแสเงินสดรองรับการดำเนินงานของบริษัทให้มากขึ้น ทำให้บริษัทได้มีการปรับลดงบลงทุนลงเหลือ 1.3-1.5 หมื่นล้านบาท จากเดิมที่ 1.6-1.8 หมื่นล้านบาท หลังจากเลื่อนการลงทุนในบางโครงการออกไปเป็นปี 65 รวมถึงการทำดีล M&A คาดว่าในช่วงปี 65 จะกลับมามีความชัดเจนอีกครั้ง
ส่วนการขยายสาขาในระยะต่อไปของบริษัทได้ปรับกลยุทธ์หันมาเน้นการขยายในต่างหวัดมากขึ้น เพื่อช่วยสร้างยอดขายจากลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ เข้ามา จากที่ปัจจุบันเน้นการขยายสาขาส่วนใหญ่ในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และหัวเมืองท่องเที่ยวหลัก เพราะจากการล็อกดาวน์ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ทำให้สาขาหลักในกรุงเทพฯและปริมณฑลได้รับผลกระทบมาก บริษัทจึงต้องมีการกระจายความเสี่ยงของธุรกิจไปยังต่างจังหวัดมากขึ้น โดยจะเน้นไปที่กลุ่มสินค้า Hard line ในกลุ่มที่เกี่ยวกับการตกแต่งซ่อมแซมที่อยู่อาศัย, สำนักงาน และอุปกรณ์เครื่องเขียน ได้แก่ ไทวัสดุ และ B2S รวมถึงกลุ่มสินค้าอาหาร เช่น Tops ที่ยังเป็นกลุ่มสินค้าที่มีโอกาสในการเจาะตลาดในต่างจังหวัดได้อีกค่อนข้างมาก
ทั้งนี้ บริษัทมองว่าการฟื้นตัวจะชัดเจนมากขึ้นในปี 65 จากความคาดหวังของการที่กิจกรรมเศรษฐกิจในประเทศกลับมา การแพร่ระบาดโควิด-19 เริ่มคลี่คลายลง มีการฉีดวัคซีนให้กับประชนชนที่ครอบคลุมมากขึ้น ทำให้โอกาสการติดเชื้อลดลง ไม่ต้องกลับมาล็อกดาวน์อีกครั้ง ซึ่งจะทำให้ยอดขายกลับมาฟื้นตัวอย่างโดดเด่น และจะเป็นปีที่มีการเปิดสาขาของบริษัทในไทย เวียดนาม และอิตาลี กลับมาอย่างเต็มที่
"ปีหน้าเราค่อนข้าง Bullish จะเห็นการฟื้นตัวกลับมาโดดเด่นมากขึ้น จากการที่ Vaccine rollout ออกมาได้มาก และการดำเนินธุรกิจแบบ Omni chanel ที่ยังเป็นปัจจัยหนุนเราอยู่ คนเริ่มกลับมาจับจ่ายใช้สอย และสาขาของเราก็เปิดได้เต็มที่ทั้งหมด จะทำให้ผลงานของเรากลับมาฟื้นตัวได้ดีขึ้นในปีหน้า"นายไท กล่าว