ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค เตรียมพร้อมขาย IPO-เข้า SET หลังนับหนึ่งไฟลิ่ง

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday September 2, 2021 13:04 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอารภัฏ สังขรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของ บมจ.ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค (PIN) เตรียมพร้อมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ไม่เกิน 290 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นไม่เกิน 25% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (SET) หลังจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) นับ 1 แบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) แล้ว

PIN มีวัตถุประสงค์นำเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้มาเสริมความแข็งแกร่งการดำเนินงานจากแผนลงทุนโครงการ Logistics Park แห่งใหม่ เพื่อรองรับการลงทุนของผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรม ส่วนที่เหลือนำไปชำระเงินกู้และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานต่อไป อันจะทำให้บริษัทฯ มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง และเพิ่มศักยภาพในการสร้างการเติบโตของรายได้แก่บริษัทฯ ได้อย่างมั่นคงต่อไป

นายพีระ ปัทมวรกุลชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PIN เปิดเผยว่า บริษัทเป็นผู้ดำเนินธุรกิจพัฒนาและบริหารอสังหาริมทรัพย์ โดยมุ่งเน้นการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม พร้อมระบบสาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันของผู้ประกอบการในพื้นที่พาณิชยกรรม ภายใต้การดำเนินงานร่วมกันระหว่างบริษัทฯ และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) (นิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงาน) และพัฒนาอาคารโรงงานและคลังสินค้าเพื่อเช่าและขายสำหรับผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมบนพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม และพื้นที่โลจิสติกส์ (Logistics Park) นอกจากนี้บริษัทฯ ยังลงทุนและได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์ของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค (PPF)

บริษัทมีประสบการณ์ความเชี่ยวชาญดำเนินธุรกิจมานานกว่า 25 ปี จากการเริ่มต้นพัฒนาโครงการนิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดชลบุรี 200 ไร่ จนปัจจุบัน มีพื้นที่ที่พัฒนาแล้วกว่า 7,500 ไร่ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยดำเนินการออกแบบผังโครงการพื้นที่อุตสาหกรรม พื้นที่พาณิชยกรรมและพื้นที่สีเขียว และระบบสาธารณูปโภคต่างๆ ได้แก่ ถนน ระบบระบายน้ำ ระบบประปา ระบบบำบัดน้ำเสีย ระบบโทรคมนาคม เป็นไปตามมาตรฐานของ กนอ. โดยภายในโครงการจะมีสำนักงานและเจ้าหน้าที่ของ กนอ. เพื่อให้บริการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องแบบ one-stop service เช่น การขอใบอนุญาตก่อสร้าง การขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการทั้งไทยและต่างประเทศเข้ามาตั้งฐานการผลิตในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม

ตลอดระยะเวลาดำเนินธุรกิจที่ผ่านมา บริษัทได้มุ่งพัฒนาและบริหารนิคมอุตสาหกรรมเพื่อสร้างความมั่นคงและยั่งยืน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย โดยบริษัทได้รับการรับรองการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมภายใต้มาตรฐานสากล ISO14001 และรางวัล Eco-Excellence โดยได้นำแนวคิดพัฒนาโครงการนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Eco Industrial Town) เป็นแกนหลักด้านการออกแบบวางผังโครงการและบริการระบบสาธารณูปโภคสิ่งอำนวยความสะดวกที่มุ่งเน้นการจัดให้มีพื้นที่สีเขียวและพื้นที่กันชนเชิงนิเวศ (Eco-Belt) รอบพื้นที่โครงการ เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมให้แก่แรงงานที่อยู่ภายในโครงการและชุมชนโดยรอบให้อยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน เช่น การบำบัดน้ำเสียให้กลับมาใช้ใหม่ภายในโครงการ การใช้พลังงานทดแทนเพื่อลดปัญหามลพิษและประหยัดพลังงาน เป็นต้น

ปัจจุบัน บริษัทได้พัฒนาและบริหารนิคมอุตสาหกรรมที่ตั้งอยู่ในจังหวัดชลบุรีและระยอง ซึ่งเป็นทำเลยุทธศาสตร์ด้านการลงทุนของไทยภายใต้เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยมีนิคมอุตสาหกรรมและโครงการ Logistics Park ที่เปิดดำเนินการแล้วรวม 6 โครงการ ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง โครงการ 1 (PIN1) นิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง (แหลมฉบัง) (PIN2) นิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง โครงการ 3 (PIN3) นิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง โครงการ 4 (PIN4) นิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง โครงการ 5 (PIN5) และโครงการ Logistics Park จำนวน 1 โครงการ ได้แก่ โครงการปิ่นทองแลนด์ (PL)

ณ วันที่ 30 มิ.ย.64 มีฐานลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมทุกแห่งรวมกัน 282 ราย แบ่งเป็นผู้ประกอบการจากต่างชาติ ประมาณร้อยละ 89 ของฐานลูกค้าทั้งหมด โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการจาก ญี่ปุ่น จีน ไต้หวัน และเกาหลีใต้ ขณะที่ผู้ประกอบการไทยมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 11 ของฐานลูกค้าทั้งหมด

บริษัทมีแผนเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านการเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต จากประสบการณ์ในสายอุตสาหกรรม และความเชี่ยวชาญในธุรกิจพัฒนาและบริหารพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม และ Logistics Park บริษัทฯ จึงพัฒนาโครงการใหม่เพิ่มเติมจำนวน 2 แห่ง ใน EEC ได้แก่ โครงการนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง 6 (PIN6) พื้นที่โครงการประมาณ 1,322 ไร่ ที่จังหวัดระยอง ภายใต้แนวคิด Eco Industrial Town หรือนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สอดรับนโยบายภาครัฐที่ผลักดันการลงทุนอุตสาหกรรมสมัยใหม่ (S-curve) ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในกระบวนการผลิตเป็นหลัก ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการเฟสแรกและคาดว่าจะเริ่มการขายพื้นที่โครงการได้ตั้งแต่ไตรมาส 4/64

นอกจากนี้ บริษัทมีแผนจะจัดตั้งและพัฒนาโครงการ Logistics Park แห่งใหม่ โดยพัฒนาที่ดินและสร้างอาคารโรงงานและคลังสินค้าเพื่อให้เช่า บนพื้นที่ของโครงการที่ประกอบด้วยเขตปลอดอากร (Free Zone) และเขตทั่วไป (General Zone) ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ มีโครงสร้างรายได้ประจำและสม่ำเสมอ (Recurring Income) ในรูปแบบค่าเช่าเพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้คาดว่าจะมีความชัดเจนของแผนพัฒนาได้ภายในปีนี้

"เรามุ่งต่อยอดการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม Eco Industrial Town สู่ SMART CITY หรือเมืองอุตสาหกรรมอัจฉริยะ รองรับนโยบายภาครัฐผลักดันเขตเศรษฐกิจ EEC เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยก้าวสู่ Thailand 4.0 โดยนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาช่วยบริหารจัดการภายในโครงการให้มีประสิทธิภาพ เพื่อขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มอุตสาหกรรม S-Curve เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงและก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และความเป็นอยู่ของชุมชนอย่างยั่งยืน" นายพีระ กล่าว

ด้านนายพิมล เลิศทรัพย์อนันต์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานบัญชีและการเงิน PIN กล่าวว่า รายได้จากการขายและการบริการในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (61-63) อยู่ที่ 888.88 ล้านบาท 789.28 ล้านบาท และ 1,062.85 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่กำไรสุทธิทำได้ 216.43 ล้านบาท 223.70 ล้านบาท และ 403.89 ล้านบาท

ปัจจัยการเติบโตที่ดีในปี 63 มาจากการขายที่ดินที่พัฒนาแล้วในโครงการ PIN3, PIN4 และ PIN5 เพิ่มขึ้นเป็น 204.37 ไร่ จากช่วงเดียวกันของปี 62 ขายที่ดินได้ 170.01 ไร่ ขณะเดียวกันยังสามารถเพิ่มสัดส่วนของรายได้ประจำและสม่ำเสมอ (Recurring Income) ซึ่งมาจากรายได้การให้เช่าและให้บริการเพิ่มขึ้นจากการให้เช่าอาคารโรงงานระยะสั้นระหว่างปี ประกอบกับควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย โดยคาดว่าสัดส่วนของรายได้ดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในอนาคต

นอกจากนี้ แม้ว่าผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่รุนแรงขึ้น ส่งผลให้ลูกค้าจากต่างประเทศไม่สามารถเข้ามาดูที่ดินและดำเนินการทำสัญญาได้ กระทบต่อรายได้จากการขายที่ดินของผู้ประกอบการนิคมอุตสาหกรรมในภาพรวม อย่างไรก็ตาม ด้วยการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพและปรับให้สอดคล้องกับความต้องการลูกค้าและสถานการณ์ที่เกิดขึ้น บริษัทฯ มีรายได้จากการขายที่ดินสำหรับงวด 6 เดือนของปี 64 เพิ่มขึ้น 12% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลจากจำนวนที่ดินที่ขายได้เพิ่มขึ้น ในขณะที่มีกำไรสุทธิ 99.31 ล้านบาท เติบโตขึ้น 44% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ