นายสุทธิรักษ์ ตรัยชิรอาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมพิจารณาเพิ่มวงเงินลงทุนซื้อหนี้เข้ามาบริหารในปีนี้ไปถึงระดับ 7,000 ล้านบาท จากเดิมวางไว้ที่ 6,000 ล้านบาท หลังจากมีแผนเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับผู้ถือหุ้นเดิม (RO)
อนึ่ง JMT จะเพิ่มทุนจดทะเบียนด้วยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 311,577,422 หุ้น จัดสรรขายผู้ถือหุ้นเดิม (RO) จำนวน 240,963,856 หุ้น อัตราส่วน 4.558-5.042 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นสามัญเพิ่มทุน ราคาหุ้นละ 41.50 บาท
นายสุทธิรักษ์ กล่าวว่า ภาพรวมธุรกิจบริหารหนี้มีการเติบโตที่ชัดเจน โดยทางบริษัทมีการขยายเงินลงทุนต่อเนื่องเพื่อซื้อหนี้เข้ามาบริหาร โดยการเพิ่มวงเงินลงทุนซื้อหนี้ในปีนี้เพื่อรองรับโอกาสหนี้ในระบบที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ซึ่งเงินลงทุนที่เกิดขึ้นจะสอดคล้องกับหนี้ด้อยคุณภาพที่จะออกมาในช่วงไตรมาส 4/64 นี้ด้วย
และในปี 65 บริษัทได้ตั้งงบลงทุนซื้อหนี้เพิ่มเป็น 15,000 ล้านบาท และในปี 66 ที่ 20,000 ล้านบาท โดยคาดว่าจะกำไรสุทธิในช่วง 3 ปีจากนี้จะเติบโตขึ้นเป็น 3 เท่าจากปีนี้ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะสนับสนุนให้บริษัทก้าวเข้าสู่การเป็นเบอร์หนึ่งของบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) ที่มีพอร์ตใหญ่ที่สุดในประเทศได้ภายใน 5 ปี
ณ สิ้นไตรมาส 2/64 บริษัทมีพอร์ตบริหารหนี้รวมประมาณ 217,557 ล้านบาท เป็นผู้นำพอร์ตบริหารหนี้ด้อยคุณภาพประเภท Unsecure Loan ที่ใหญ่สุดในประเทศ โดยเป็นหนี้ด้อยคุณภาพที่ตัดต้นทุนครบแล้ว 49,513 ล้านบาท และครึ่งปีแรกใช้งบลงทุนซื้อหนี้ไปแล้ว 3,336 ล้านบาท
ปัจจุบันสัดส่วนรายได้ของบริษัทแบ่งได้เป็น รายได้จากการจัดซื้อและบริหารหนี้ (Debt Acquisition and Management) 84% รายได้จากการรับจ้างบริหารหนี้ (Debt Collection Business) 10% และรายได้จากธุรกิจประกันภัย (Insurance and Insurance Broker) อีก 6%