โลหะกิจฯคาดเข้าเทรดปีนี้ระดมทุนขยายธุรกิจก้าวสู่ผู้นำแปรรูปสเตนเลสม้วน

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday November 6, 2007 10:30 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          นายพินิจ พัวพันธ์ กรรมการผู้จัดการ บล.ซีมีโก้ ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินในการกระจายหุ้น บมจ.โลหะกิจ เม็ททอล คาดว่า โลหะกิจฯ จะสามารถเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก(IPO)จำนวน 80 ล้านหุ้น หรือ 25% ของจำนวนหุ้นที่เรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ และนำหุ้นเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯภายในปีนี้
ด้านนายประสาน อัครพงศ์พิศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.โลหะกิจ เม็ททอล เปิดเผยว่า บริษัทมีความเชื่อมั่นในศักยภาพและความแข็งแกร่งของบริษัทจึงได้เตรียมนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อระดมทุน สำหรับการขยายตัวและเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิม
ปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียนจำนวน 320 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 320 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท เป็นทุนที่ชำระแล้ว 240 ล้านบาท
นายประสาน กล่าวว่า จะนำเงินที่ได้จาการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ไปใช้เพื่อก่อสร้างอาคาร จัดซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์ ใช้คืนเงินกู้ยืมบางส่วน และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในบริษัท เพื่อการขยายธุรกิจต่อไป โดยคาดว่าภายใน 2 ถึง 3 ปีข้างหน้า ปริมาณความต้องการบริโภคสเตนเลสจะเพิ่มสูงขึ้น อันเนื่องมาจากโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานขนาดใหญ่ของรัฐต่าง ๆ เช่น โครงการส่วนต่อขยายระบบขนส่งระบบรางในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล โครงการรถไฟรางคู่ เป็นต้น
ปริมาณการบริโภคสเตนเลสในประเทศไทย มีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกับการเติบโตของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องต่างๆ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า อุตสาหกรรมก่อสร้าง อุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมเครื่องครัวและเครื่องใช้ ซึ่งในแต่ละอุตสาหกรรมมีส่วนในการผลักดันให้อุตสาหกรรมสเตนเลสในประเทศไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
อีกทั้ง บริษัทฯ มีเป้าหมายการดำเนินธุรกิจในการเป็นผู้นำด้านการแปรรูปสเตนเลสม้วนอย่างครบวงจรที่มีการให้บริการครอบคลุมและสมบูรณ์แบบ ทั้งในด้านการจัดหาผลิตภัณฑ์ การแปรรูปผลิตภัณฑ์สเตนเลสโดยการตัดตามขนาดตัดเป็นแถบม้วน การขัดพื้นผิว การเจาะรูและปั๊มกลม รวมถึงการผลิตและจำหน่ายท่อสเตนเลส และการจำหน่าย สเตนเลสเกรดเฉพาะ
บริษัทมุ่งมั่นที่จะตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกันของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมต่าง ๆ ภายในประเทศ ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน อิเลคทรอนิกส์ ยานยนต์ และอาหาร ด้วยการนำวิธีการจัดการห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Management) มาใช้ ซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายทั้งซัพพลายเออร์ บริษัทและบริษัทย่อย และลูกค้า ทำให้มีการบริหารต้นทุนและบริหารจัดการสินค้าคงคลังที่มีประสิทธิภาพ และส่งผลให้ลูกค้าได้รับประโยชน์ในด้านได้รับมอบสินค้าตรงตามกำหนดเวลา และไม่มีค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บสินค้าไว้ในปริมาณที่เกินความต้องการ ซึ่งช่วยลดต้นทุนของลูกค้าอีกด้วย

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ