นายชูเดช คงสุนทร กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บมจ.ไวส์ โลจิสติกส์ (WICE) เปิดเผยว่า บริษัทปรับเป้าหมายรายได้ปี 64 ขึ้นเป็น 5,800 ล้านบาท หรือเติบโต 45% จากเดิมคาดว่าจะมีรายได้ 4,800 ล้านบาท หรือเติบโต 20% โดยมองว่าครึ่งปีหลังจะสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องจากการเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของการขนส่ง และค่าบริการการยังคงปรับตัวสูงขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับตัวเลขการส่งออกของไทยล่าสุดที่มีมูลค่า 22,650.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว 20.27% พร้อมกันนี้บริษัทยังคงเดินหน้าบริหารจัดการต้นทุนอย่างต่อเนื่อง จึงเชื่อว่าจะช่วยหนุนอัตรากำไรสุทธิให้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
บริษัทคาดว่าธุรกิจจะมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นทั้ง 4 กลุ่มบริการหลัก ได้แก่ การขนส่งทางทะเล (Sea Freight), การขนส่งทางอากาศ (Air Freight), การขนส่งข้ามพรมแดน (Cross Border Services) และ ธุรกิจบริการด้าน Supply Chain Solutions ส่งผลให้บริษัทมีการขยายตัวของธุรกิจเพิ่มขึ้นอย่างมาก
นอกจากนี้เพื่อเป็นการขยายศักยภาพการให้บริการส่งข้ามพรมแดน (Cross Border Services) บริษัทได้เข้าซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนในบริษัท ยูโรเอเชีย โทเทิล โลจิสติกส์ จำกัด (ETL) จำนวน 2,244,898 หุ้น เป็นจำนวนเงิน 138 ล้านบาท โดยแหล่งเงินทุนที่ใช้มาจากกระแสเงินสดภายในบริษัทและการกู้เงินจากสถาบันการเงิน ซึ่งการโอนกรรมสิทธิ์จะแล้วเสร็จในช่วงเดือน ก.ย. คาดว่า WICE และเริ่มบันทึกส่วนแบ่งกำไรจากการเพิ่มสัดส่วนถือหุ้นใน ETL ที่จากเดิม 40% เป็น 51% ได้ในช่วงปลายไตรมาส 3/64
และ บริษัทได้เตรียมพร้อมในการนำ ETL เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ในปี 65 โดยในช่วงต้นปีที่ผ่านมาบริษัทได้แต่งตั้งที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) ไปแล้ว และคาดว่ากระบวนการต่างๆ จะเป็นไปตามแผนที่วางไว้
บริษัทยังเดินหน้าเจรจาเพื่อเข้าเข้าซื้อและควบรวมกิจการ (M&A)ในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับโลจิสติกส์ภายในประเทศเพื่อขยายธุรกิจในอนาคต โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนของดีลในช่วงที่เหลือของปีนี้
"บริษัทมีแผนขยายการให้บริการขนส่งไปยังตลาดหลักที่มีแนวโน้มความต้องการสินค้าเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาทิ ตลาดสหรัฐอเมริกาที่บริษัทตั้งเป้าขยายการขนส่งเพิ่มขึ้นเป็น 6,000 ตู้ต่อปี รวมไปถึงตลาดจีน ย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทยด้วยการเชื่อมโยงเส้นทางการขนส่งระหว่างประเทศผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรและเครือข่ายสาขาของบริษัท อีกทั้งมีการขยายฐานลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เติบโตได้ดี และการบริหารจัดการต้นทุนลดค่าใช้จ่าย เน้นเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน" นายชูเดชกล่าว
นายชูเดช กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทคาดว่าในระยะเวลา 2-3 ปี ข้างหน้า มูลค่าตามราคาตลาดโดยรวม (มาร์เก็ตแคป) จะเพิ่มขึ้นแตะระดับ 10,000 ล้านบาท ตามการเติบโตของรายได้ที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 20% เบื้องต้นในปี 65 บริษัทคาดรายได้จะสามารถเติบโตได้ในกรอบ 15-20% โดยต้องมีการประเมินแผนการดำเนินงานที่ชัดเจนอีกครั้งในช่วงเดิน ต.ค. นี้