บมจ.แอสคอน คอนสตรัคชั่น(ASCON)คาดว่า ในปี 51 รายได้ของบริษัทจะเติบโตถึง 50% จากปีนี้ที่รายได้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ประมาณ 2 พันล้านบาท โดยขณะนี้บริษัทมีงานในมือส่วนหนึ่งประมาณ 2 พันล้านบาทที่จะทยอยรับรู้เป็นรายได้ในปีหน้า นอกจากนั้นในปีนี้บริษัทยังประสบความสำเร็จในการบริหารต้นทุน โดยจะมีอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยที่ 15% สูงกว่าปีก่อน แม้ว่าต้นทุนจะเพิ่มขึ้น
นายพัฒนพงษ์ ตนุมัธยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ASCON คาดว่า ในปี 51 รายได้จะเติบโต 50% จาก 2 พันล้านบาทในปี 50 โดยมาจากการรับรู้รายได้โครงการอาคารชุดดิ อินสไปร์ พระรามเก้า มูลค่า 1.4 พันล้านบาท และจะทยอยรับรู้หมดในปีหน้า
นอกจากนี้ บริษัทยังมีงานในมือ (Backlog) คงค้างในปี 50 ประมาณ 2 พันล้านบาท และยังมีรายได้อีกส่วนหนึ่งที่คาดว่าจะได้งานก่อสร้างโครงการต่าง ๆ ที่บริษัทได้ยื่นประมูลไปแล้ว 20 โครงการ น่าจะได้รับงาน 20-30% ของงานทั้งหมดที่เข้าประมูล มูลค่าโครงการละ 400-500 ล้านบาท
สำหรับไตรมาส 4/50 คาดว่าจะมีการเซ็นสัญญาก่อสร้างคอนโดมิเนียมในเขตกรุงเทพ 1-2 โครงการ และมั่นใจว่าจะมีรายได้สูงกว่าไตรมาส 3 เนื่องจากมีการทยอยรับรู้รายได้จากโครงการต่างๆ
พร้อมกันนั้น จากโครงการเมกะโปรเจ็คต์ของภาครัฐที่จะเห็นภาพได้อย่างชัดเจนในปี 51 เนื่องจากมีรัฐบาลใหม่ และน่าจะมีหลายโครงการที่เกี่ยวกับการก่อสร้างระบบสาธารณูปโภค ทางบริษัทก็เชื่อมั่นสำหรับความพร้อมทางด้านการเงิน เพราะมีสถาบันการเงินอย่าง Lehman Brothers เข้ามาถือหุ้น 7.5% และมีแผนจะซื้อเพิ่มบนกระดานอีก 7.5% ที่ราคา 9.6 บาทในระยะ 2-3 เดือนข้างหน้าตามข้อตกลงเดิมที่เคยประกาศไว้
นายพัฒนพงษ์ กล่าวต่อว่า บริษัทยืนยันแผนงานที่จะร่วมมือกับบริษัท สตราบัก เอส อี (STRABAG SE) ซึ่งเป็นบริษัทรับก่อสร้างของประเทศเยอรมัน เข้าประมูลโครงการรถไฟฟ้าใต้สายสีแดง โดยจะยื่นวันที่ 16 ธ.ค.จากเบื้องต้นมีผู้ซื้อซอง 10 ราย
"ยังไม่สามารถประเมินการแข่งขันได้ เนื่องจากจะต้องดูว่ามีผู้ยื่นประมูลกี่รายจากที่ซื้อซองไป แต่เชื่อมั่นว่าบริษัทมีข้อได้เปรียบเนื่องจากการประมูลครั้งนี้ไม่ได้เน้นในเรื่องราคาที่ถูกที่สุด แม้จะใช้ระบบ e-Auction เนื่องจากได้มีการประกาศแล้วว่าต้องการเน้นคุณภาพของโครงการมากกว่า" นายพัฒนพงศ์ กล่าว
ในส่วนของงานต่างประเทศที่ดูไบ นายพัฒนพงษ์ กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างเซ็นจัดตั้งบริษัท โดยคาดว่าจะเซ็นได้ภายในเดือนนี้ มูลค่างานในช่วงปีแรกน่าจะอยู่ที่ประมาณ 5 พันล้านบาท ซึ่งงานก่อสร้างที่ดูไบยังมีเป็นจำนวนมากและได้รับค่าจ้างสูงกว่าในไทยราว 2 เท่า
นายพัฒนพงษ์ กล่าวว่า ในปีนี้คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะอยู่ที่ประมาณ 15% สูงกว่าปีก่อนเล็กน้อย โดยต้นทุนที่บริษัทได้รับผลกระทบมากที่สุดเป็นเรื่องของเหล็กมากกว่าราคาน้ำมัน โดยในเรื่องปัจจัยราคาน้ำมันนั้น บริษัทก็พยายามบริหารต้นทุนและพยายามจัดซื้อสินค้าแบบรวมศูนย์เพื่อให้ได้ราคาที่ถูกกว่า แต่ราคาน้ำมันไม่ได้มีผลกระทบกับบริษัทมากนัก เพราะบริษัทเน้นงานก่อสร้างอาคารสูง ไม่เหมือนงานก่อสร้างถนนที่ต้องพึ่งพาต้นทุนค่อนข้างมาก
--อินโฟเควสท์ โดย สารภี สายะเวส/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--