นายธีรธัชช์ สิงห์ณรงค์ธร ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มสนับสนุน บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค (PF) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์โควิด-19 กลับมามีความรุนแรงมากขึ้นในช่วงปลายไตรมาส 2/64 มาจนถึงในช่วงไตรมาส 3/64 ส่งผลกระทบต่อภาพรวมผลการดำเนินงาน โดยเฉพาะการขายและการโอนที่อยู่อาศัยที่เกิดการชะลอตัว และชะลอการเปิดโครงการใหม่ ทำให้บริษัทต้องปรับลดเป้าหมายรายได้รวมในปี 64 ลงมาเหลือ 1.3 หมื่นล้านบาท จากเดิมที่ตั้งไว้ 2.13 หมื่นล้านบาท หลังจาก ทุกธุรกิจของบริษัทได้รับผลกระทบ ทั้งธุรกิจที่อยู่อาศัย โรงแรม รวมถึงแผนการขายที่ดิน
ในส่วนของธุรกิจที่อยู่อาศัย บริษัทได้รับผลกระทบจากมาตรการปิดแคมป์คนงานในช่วงที่ผ่านมา ทำให้การโอนในบางโครงการต้องเลื่อนออกไปบ้างเล็กน้อย แต่ปัจจุบันหลังจากภาครัฐผ่อนคลายมาตรการลงบ้างแล้ว บริษัทก็จะเร่งการก่อสร้างในส่วนที่เหลือให้แล้วเสร็จเพื่อเตรียมทยอยส่งมอบให้กับในช่วงปลายปี 64 อีกทั้งจะมีการเปิดโครงการใหม่ในช่วงไตรมาส 4/64 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโครงการที่เลื่อนมาจากไตรมาส 3/64
ทั้งนี้ ในช่วงเดือน ก.ย.64 บริษัทจะมาเปิดโครงการแนวราบอีกครั้ง เป็นบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด 2 โครงการ มูลค่ารวม 5.4 พันล้านบาท และในไตรมาส 4/64 จะเปิดอีก 4 โครงการ มูลค่า 4.5 พันล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดเช่นกัน รวมทั้งมีแผนจะเปิดขายโครงการวิลล่า ในจังหวัดระยอง มูลค่าราว 10 ล้านบาท ที่เลื่อนมาจากไตรมาส 3/64 ซึ่งปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการก่อสร้างบางหลัง คาดว่าจะพร้อมส่งมอบให้ลูกค้าได้ทั้งหมดในช่วงเปิดขายโครงการ
ดังนั้น ในปีนี้คาดว่าบริษัทจะสามารถรับรู้รายได้จากยอดขายรอโอน (Backlog) เข้ามาทั้งหมด 2.35 พันล้านบาท โดยรายได้จากธุรกิจที่อยู่อาศัยจะเริ่มกลับเข้ามามากขึ้นในช่วงตั้งแต่ไตรมาส 4/64 เป็นต้นไป
ด้านธุรกิจโรงแรมในปีนี้ยังคงได้รับผลกระทบจากโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากนักท่องเที่ยวต่างชาติยังไม่สามารถเดินทางเข้ามาได้ รวมถึงมาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมาทำให้นักท่องเที่ยวในประเทศชะลอเดินทางไปด้วย แต่มองว่าหลังการคลายล็อกดาวน์มากขึ้นจะเริ่มเห็นนักท่องเที่ยวในประเทศกลับมาเดินทางอีกครั้งในช่วงไตรมาส 4/64 และหากเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติมากขึ้นจะช่วยหนุนการฟื้นตัวขึ้นของธุรกิจโรงแรมได้บ้างในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ และจะเห็นการกลับมาฟื้นตัวที่ชัดเจนขึ้นในปี 65 หลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลงชัดเจน
ขณะที่แผนการขายที่ดินของบริษัทจากเดิมที่วางแผนขายออกไปมูลค่า 3 พันล้านบาทในปี 64 แต่คงต้องเลื่อนการขายที่ดินส่วนใหญ่ออกไปเป็นปี 65 ทำให้การขายที่ดินในปีนี้อาจทำได้เพียง 537 ล้านบาท ซึ่งจะบันทึกรายได้เข้ามาในช่วงไตรมาส 4/64 และบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับผู้สนใจซื้อสินทรัพย์ 1 รายการคาดว่าจะเห็นความชัดเจนในไตรมาส 4/64 เช่นเดียวกัน
ทั้งนี่ แผนการขายที่ดินและสินทรัพย์ของบริษัทในช่วงปี 63-65 วางแผนขายออกไปมูลค่า 2.35 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น การขายที่ดินของ PF ย่านแจ้งวัฒนะ รามอินทรา และรามคำแหง มูลค่ารวม 1.14 พ่นล้านบาท การขายที่ดินของวีรีเทล 2 แปลง ย่านรัชดาภิเษก มูลค่ารวม 3.8 พันล้านบาท และการขายโรงแรมในเครือ GRAND เข้ากองรีท มูลค่ารวม 8.3 พันล้านบาท ซึ่งมีการขายโรงแรมรอยัล ออร์คิด เชอราตัน เข้ากองรีทไปแล้วในช่วงที่ผ่านมา มูลค่า 4.5 พันล้านบาท และในปี 65 จะขายโรงแรม Hyatt Regency สุขุมวิท มูลค่า 3.8 พันล้านบาท เข้ากองรีทเพิมเติม
ส่วนความคืบหน้าของธุรกิจของ บริษัท แกรนด์ โกลบอล โกลฟส์ จำกัด (GGG) ผลิตและจำหน่ายถุงมือยางสังเคราะห์ (Nitrile) ที่ บมจ. แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ (GRAND) ในเครือ PF เข้าลงทุนนั้น ปัจจุบันเครื่องจักรไลน์การผลิตที่ 1 และ 2 ติดตั้งแล้วเสร็จเตรียมเดินเครื่องการผลิตเชิงพาณิชย์และรับรู้รายได้เข้ามาในช่วงไตรมาส 4/64 ซึ่งล่าช้าออกไปจากแผนเดิมที่จะเริ่มเดินเครื่องในไตรมาส 3/64 เนื่องจากได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์ และการจัดส่งเครื่องจักรที่มีความล่าช้า หลังจากนี้จะทยอยติดตั้งเครื่องจักรให้ครบอีก 14 ไลน์การผลิตที่เหลือ ซึ่งจะทำให้ปี 65 บริษัทจะรับรู้รายได้จากการผลิตถุงมือนางครบทั้ง 16 ไลน์การผลิตเข้ามา
นายธีรธัชช์ กล่าวอีกว่า กลยุทธ์การดำเนินงานของบริษัทยังคงเน้นการเร่งระบายสต็อกโครงการบ้านและคอนโดมิเนียม รวมถึงการขายที่ดินออกไป เพี่อสร้างกระแสเงินสดกลับเข้ามา จำกัดการลงทุนในการก่อสร้างให้สอดคล้องกับการขาย เน้นการพัฒนาโครงการแนวราบ ที่เจาะกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-บน เป็นหลัก และยังไม่มีการเปิดโครงการคอนเดมิเนียมใหม่ในช่วงปี 62-64
"ในช่วงเกือบ 2 ปีที่ผ่านมาที่เราเผชิญกับความไม่แน่นอนของโควิด เป็นความท้าทายของบริษัทในการผ่านอุปสรรคไป แม้ว่าในช่วง 2 ปีนี้ ผลงานของเราได้รับแรงกดดันจากโควิดเข้ามามาก แต่เชื่อว่าหากโควิดคลี่คลายลงชัดเจน ก็จะกลับมาฟื้นขึ้นได้อย่างแข็งแกร่งในปีหน้า"นายธีรธัชช์ กล่าว