ทริสฯ จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ 1.2 หมื่นลบ.BCPG ที่ "A-" แนวโน้ม Stable

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday September 8, 2021 18:28 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ.บีซีพีจี (BCPG) ที่ระดับ "A-" ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" พร้อมกันนี้ ทริสเรทติ้งยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันในวงเงินไม่เกิน 1.2 หมื่นล้านบาทของบริษัทที่ระดับ "A-" ด้วยเช่นกัน โดยอันดับเครดิตหุ้นกู้ชุดใหม่ดังกล่าวใช้แทนอันดับเครดิตหุ้นกู้เดิมของบริษัทที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2564 ในการนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ไปใช้ชำระคืนเงินกู้ที่มีหลักประกันและเพื่อขยายกิจการ

อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงรายได้ที่แน่นอนจากสินทรัพย์โรงไฟฟ้าของบริษัทที่มีสัดส่วนการลงทุนที่กระจายตัวเป็นอย่างดี รวมถึงการได้รับการสนับสนุนจากบริษัทแม่ คือ บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) (ได้รับอันดับเครดิตที่ "A-/Stable" จากทริสเรทติ้ง) ต่อไปอีกด้วย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็มีข้อจำกัดจากความเสี่ยงในการบริหารงานโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาให้บรรลุเป้าหมาย (Execution Risk) รวมถึงความเสี่ยงของประเทศ (Country Risk) ที่เพิ่มสูงขึ้นจากการลงทุนในต่างประเทศของบริษัท นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าภาระหนี้ของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับสูงในช่วงที่มีการขยายธุรกิจอีกด้วย

อันดับเครดิตองค์กรของบริษัทยังสะท้อนถึงมุมมองของทริสเรทติ้งเกี่ยวกับสถานะของบริษัทที่เป็นบริษัทย่อยหลักของบริษัทบางจากฯ อีกด้วย โดยอันดับเครดิตของบริษัทนั้นได้สะท้อนถึงการปรับเพิ่มขึ้น 1 ขั้นจากอันดับเครดิตเฉพาะของบริษัท (Standalone Credit Profile ? SACP) ที่ระดับ "bbb+" ให้เท่ากับอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทบางจากฯ ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงสถานะเป็นบริษัทย่อยหลักของกลุ่มบางจากต่อไปในอนาคต

สำหรับในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2564 นั้น บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็นจำนวน 2.14 พันล้านบาทซึ่งสะท้อนถึงการรับรู้รายได้อย่างเต็มที่จากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าพลังน้ำของบริษัทในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) โดยบริษัทมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่จำนวน 1.78 พันล้านบาท ในขณะที่ ณ เดือนมิถุนายน 2564 บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่ระดับ 3.9 เท่า ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนดังกล่าวจะสูงขึ้นเป็นประมาณ 8 เท่าในช่วงปลายปี 2564 ก่อนที่จะลดลงเหลือประมาณ 6-7 เท่าในช่วงปี 2565-2566

เมื่อพิจารณาในภาพรวมของกลุ่มบริษัท ณ เดือนมิถุนายน 2564 บริษัทมีภาระหนี้จำนวน 2.6 หมื่นล้านบาทซึ่งในจำนวนทั้งหมดนี้เป็นหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนประมาณ 2.1 หมื่นล้านบาทซึ่งประกอบไปด้วยหนี้ที่มีหลักประกันของบริษัทจำนวน 1.4 หมื่นล้านบาทและหนี้ของบริษัทย่อยจำนวน 7.6 พันล้านบาท ดังนั้น อัตราส่วนของหนี้ที่มีลำดับในการได้ชำระคืนก่อนต่อภาระหนี้ทั้งหมดของบริษัทจึงอยู่ที่ระดับประมาณ 83% อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนดังกล่าวจะลดลงมาอยู่ที่ระดับประมาณ 42% หลังจากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ เนื่องจากบริษัทจะนำเงินส่วนใหญ่ที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่นี้ไปใช้ชำระคืนหนี้ที่มีหลักประกันของบริษัท ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ชุดใหม่ดังกล่าวให้อยู่ในระดับเท่ากับอันดับเครดิตองค์กรของบริษัท

แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถดำรงผลการดำเนินงานที่น่าพอใจได้ต่อไปโดยที่การก่อสร้างและการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าต่าง ๆ นั้นคาดว่าจะสำเร็จได้ตามแผน นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าภาระหนี้และกระแสเงินสดต่อภาระหนี้ของบริษัทจะสอดคล้องกับตัวเลขประมาณการของทริสเรทติ้งไปจนตลอดช่วงเวลาการขยายธุรกิจของบริษัท

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

อันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากบริษัทสามารถสร้างกระแสเงินสดให้เพิ่มมากขึ้นจนช่วยลดภาระหนี้ของบริษัทลงได้อย่างมีสาระสำคัญ ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจได้รับการปรับลดลงหากผลการดำเนินงานของบริษัทถดถอยลงไปจากที่ ทริสเรทติ้งประมาณการไว้อย่างมีนัยสำคัญ หรือสถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมากซึ่งอาจเกิดจากผลการดำเนินงานที่อ่อนแอลงหรือภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากเพื่อใช้จ่ายตามกลยุทธ์การลงทุนของบริษัท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ