มร.อมาร์ ลัลวานี่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล (Standard International) เปิดเผยว่า ประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายท่องเที่ยวอับดับหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่เหมาะสม และวัฒนธรรมที่เป็นจุดเด่น อีกทั้งจากความตั้งใจจริงของสแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล ที่จะขยายฐานและลงทุนในเอเชียอย่างมั่นคง จึงนำประสบการณ์กว่า 20 ปีในอุตสาหกรรมบูทีคโฮเทล ความเป็นแบรนด์ที่มีเอกลักษณ์ในการสร้างความรู้สึกต่างๆ ผนวกเข้ากับการบริการที่เป็นเลิศ มาสู่ลูกค้าในตลาดที่ไม่เคยหยุดนิ่งอย่างประเทศไทย เริ่มด้วยการเปิดตัวโครงการแลนด์มาร์กใหม่ทั้ง 2 แห่ง ในหัวหิน และกรุงเทพฯ
สำหรับโรงแรมในเครือ The Standard แห่งที่ 2 ในประเทศไทย จะเปิดให้บริการในปี 65 ในกรุงเทพฯ คือ The Standard Bangkok Mahanakhon จำนวนห้องพัก 155 ห้อง ที่จะเป็นโรงแรมที่สร้างความตื่นเต้นครั้งใหม่ให้กับวงการโรงแรมในประเทศไทย กับการผนวกความหรูหราและความเป็นเอกลักษณ์ของโครงการ King Power Mahanakhon ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงแรม The Standard Bangkok Mahanakhon โดยได้รับความร่วมมือจากคิงเพาเวอร์ ที่เล็งเห็นศักยภาพของเครือ The Standard ในการเข้ามาบริหารโรงแรม ประกอบกับการที่จะมีร้านอาหารและร้านชาชั้นนำที่ทาง The Standard เตรียมนำมาเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในโครงการดังกล่าว ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งโครงการที่เตรียมเปิดรับท่องเที่ยวเข้ามาหลังจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ผ่านพ้นไป
มร.ลัลวานี่ กล่าวว่า ทั้งกรุงเทพฯ และภูเก็ต ยังคงได้รับความนิยมในฐานะเมือง สุดโปรดของเหล่านักเดินทางนานาชาติ แต่การฟื้นธุรกิจท่องเที่ยวให้กลับคืนมาเหมือนช่วงก่อนโควิด19 นับว่าเป็นเรื่องท้าทายมาก ทำให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จึงเริ่มต้นผลักดันภารกิจหลักสู่การฟื้นฟูอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและโรงแรมที่ถือเป็นอุตสาหกรรมสำคัญของประเทศให้กลับมาโลดแล่นเหมือนเดิม
ประเทศไทยเริ่มพิจารณาใช้นโยบายเปิดประตูต้อนรับนักท่องเที่ยวอีกครั้ง หลังจากแผนระดมฉีดวัคซีนดำเนินการได้ตามเป้า โดยเริ่มจากโครงการนำร่องโครงการภูเก็ต แซนด์บ๊อกซ์ รับเฉพาะนักท่องเที่ยวที่ฉีดวัคซีนเข้าสู่ภูเก็ตตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.ที่ผ่านมา และตามมาด้วยโครงการในลักษณะเดียวกันในเมืองท่องเที่ยวสำคัญๆ รวมทั้งโครงการที่จะเปิดตัวในจังหวัดที่สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล เข้าไปเปิดให้บริการ คือ Hua Hin Recharge ที่ตั้งเป้าให้มีการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนในพื้นที่ให้ได้ 70% เพื่อพร้อมรับนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศกลับมาเยือนเมืองชายทะเลแห่งนี้ เพื่อกระตุ้นให้ธุรกิจท่องเที่ยวในพื้นที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ในช่วงที่ฤดูท่องเที่ยวหลักใกล้เข้ามาซึ่งปกติจะเริ่มต้นในเดือนต.ค.ของทุกปี ประเทศไทยจะมีเมืองท่องเที่ยวหลัก 5 แห่งหลัก ได้แก่ภูเก็ต สมุย พัทยา เชียงใหม่ และหัวหิน ซึ่งข้อมูลจากททท. ระบุว่าสร้างรายได้เข้าประเทศในสัดส่วน 50% ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ขณะที่ที่การเข้าร่วมแผนการฟื้นฟูการท่องเที่ยวในจังหวัดอื่นๆเพิ่มเติมต่อจากภูเก็ต ที่เป็นเมืองรองใน 2 จังหวัด คือ กระบี่และพังงา ถือเป็นจุดหมายรองจากเมืองหลักยังถือการเป็นการเริ่มต้นการกลับมาเปิดการท่องเที่ยวในประเทศไทยอีกครั้ง และคาดหวังถึงการที่ภาครัฐกำลังพิจารณาให้หัวหินเป็นจุดหมายที่เปิดโอกาส ให้นักท่องเที่ยวเดินทางได้อย่างอิสระในรัศมี 86 กิโลเมตรโดยไม่ต้องมีการกักตัว ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่หนุนให้กับการเปิดรับนักท่องเที่ยวของ THE STANDARD หัวหิน ที่เตรียมเปิดในวันที่ 1 ธ.ค. 64 โดยมีห้องพัก 178 ห้อง พูลวิลล่า 21 หลัง
ขณะที่จุดเด่นของเมืองชายทะเลอย่างหัวหิน อันเป็นที่ตั้งของรีสอร์ต ติดชายหาดแห่งแรกในไทยในเครือ The Standard เป็นตลาดที่พึ่งพาตลาดนักท่องเที่ยวในประเทศเป็นหลัก โดย 70% ของนักท่องเที่ยวก่อนที่จะได้รับผลกระทบจากโควิด เป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย อัตราการเข้าพักสูงถึง 90% ในช่วงสุดสัปดาห์และวันหยุดราชการ และในปี 63 โรงแรมในหัวหินมีตัวเลขอัตราการเข้าพักสูงที่สุดอยู่ที่ 39% มากกว่าเมืองท่องเที่ยวหลักอย่างพัทยา ภูเก็ต และกรุงเทพฯ
Standard International ยังมองว่ากระแสความต้องการในการท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่มีรายได้สูง จากประเทศที่มีเศรษฐกิจมั่นคง และพึ่งพาธุรกิจท่องเที่ยวขาเข้าน้อยกว่าอุตสาหกรรมอื่ ๆ ซึ่งโอกาสที่จะฟื้นตัวได้เร็วกว่า นักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นๆ โดยนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้จะเป็นเป้าหมายหลักที่ธุรกิจท่องเที่ยวในประเทศต่างๆให้ความสนใจเป็นอย่างสูง ในการดึงดูดให้เข้ามาท่องเที่ยวประเทศของตนเอง ซึ่งประเทศไทยคือจุดหมายปลายทางที่มีศักยภาพสูงสำหรับการท่องเที่ยวของนักเดินทางกลุ่มนี้เมื่อมีการเปิดพรมแดนเพื่อวัตถุประสงค์ด้านการท่องเที่ยวอีกครั้ง หากประเทศอื่นๆในภูมิภาคยังไม่สามารถดำเนินการในการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ และยกเลิกข้อกำหนดในการเดินทางข้ามประเทศได้อย่างทันท่วงที
ถึงแม้ว่าโควิด-19 จะสร้างผลกระทบมหาศาลต่อเศรษฐกิจโลกอย่างมาก และสร้างผลกระทบต่อธุรกิจท่องเที่ยวและบริการเสียหาย แต่เครือ The Standard สามารถยืนหยัดสู้กับสถานการณ์วิกฤติได้อย่างแข็งแกร่งและภาคภูมิ ด้วยวิสัยทัศน์ที่เล็งเห็นว่าว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะกลับมามีอนาคตที่สดใส โดยส่วนแบ่งตลาดของแบรนด์ในปี 64 ในสหรัฐฯที่สูงขึ้นกว่าปี 62 ด้วยค่าเฉลี่ยดัชนีการสร้างรายได้ที่ระดับ 134 ต่อ 122 เมื่อเทียบกับเครือโรงแรมคู่แข่งในระดับเดียวกัน
"ท่ามกลางความท้าทายที่เราเผชิญ เราสามารถรักษาฐานกำไรและยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยการ เพิ่มส่วนแบ่งตลาดในโครงการใหม่ๆ และเร่งสรรหาโรงแรมใหม่ๆ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในเครือ เพื่อทำให้ตัวเลขการเติบโตในแง่ส่วนแบ่งตลาดเป็นผลจากความแข็งแกร่งของแบรนด์ และการที่เราตัดสินใจรักษาทีมงานทุกคนไว้และเดินหน้าแผนงานต่างๆทางการตลาดตลอดช่วงที่เกิดวิกฤติโรคระบาด"มร. อมาร์ ลัลวานี่ กล่าว
ความแข็งแกร่งของแบรนด์นับว่าเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ตัวเลขยอดการจองตรงในโรงแรมในเครือ The Standard อยู่ระดับสูงตลอด โดยเพิ่มจากอัตรา 45% ก่อนโควิดระบาด มาสู่ระดับ 58% ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงสำหรับแบรนด์โรงแรมอิสระ ความสำเร็จดังกล่าวเป็นผลจากการนำเสนอแพคเก็จที่ดึงดูดใจและการสร้างประสบการณ์ที่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้มาพักที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา รวมถึงการตลาดแบบฉีกกรอบซึ่งกลายเป็นภาพจำของแบรนด์
ทั้งนี้เครือ The Standard ยังมีแผนการเปิดโครงการใหม่เพิ่มเติม เช่น The Standard Ibiza ที่จะเปิดให้บริการในปี 65 และโรงแรมในสิงคโปร์ เมลเบิร์น ลิสบอน ดับลิน บรัสเซลส์ และลาสเวกัส ที่มีการลงทุนเพิ่มเติม ภายใต้แบรนด์ The Standard Bunkhouse และ The Peri Hotel พร้อมทั้งวางแผนการเปิดโรงแรมใหม่ทั้วโลกรวมทั้งสิ้น 35 แห่ง โดยการขยายในประเทศไทยจะได้รับความร่วมมือจากบมจ.แสนสิริ (SIRI) ที่เป็นพันธมิตรของเครือ The Standard ในการมองหาโอกาสในการขยายโรงแรมในเมืองอื่นๆในประเทศไทยเพิ่มเติม