ส่วนปัจจัยสัปดาห์นี้จะเน้นไปที่ตัวเลขเศรษฐกิจต่างประเทศเป็นหลักได้แก่ 1.คืนวันอังคารตามเวลาประเทศ สหรัฐมีกำหนดรายงานตัวเลขเงินเฟ้อ (CPI) ตลาด คาดที่ 5.3% จากปีก่อน ชะลอตัวลงจากเดือนก่อนที่ 5.4% จากปีก่อน หากจะเป็นบวกกับตลาดหุ้นเชื่อว่าการออกมาใกล้เคียงคาดหรือต่ำกว่าคาดจะเป็นบวกมากกว่าสูงกว่าคาด 2. ยอดค้าปลีกสหรัฐในวันพฤหัสบดี Bloomberg คาดที่ -0.8% จากเดือนก่อนหน้า หากจะเป็นบวกต่อตลาดคือใกล้เคียงคาดหรือต่ำกว่าคาด ส่วนอื่นๆจะเป็นเรื่องของภายในประเทศโดยเฉพาะเรื่องของโควิด-19 ประชุม ศบค. ซึ่งในวันศุกร์ที่ผ่านมายังคงเวลาเคอร์ฟิวที่ 21.00-04.00 น. พร้อมคงจังหวัดสีแดงไว้เท่าเดิม มองผลของการประชุมไม่มีผลมากกับการลงทุน
ทั้งนี้สัปดาห์นี้ภายในประเทศยังเป็นเรื่องของโควิด-19 การติดเชื้อวันอาทิตย์ยังเป็นไปในทิศทางดี แม้จะเปิดเมืองมาแล้ว 12 วัน แต่ตัวเลขติดเชื้อก็มิได้เร่งตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หากระหว่างสัปดาห์เห็นการติดเชื้อที่ทำจุดต่ำสุดใหม่จะยิ่งเป็นบวกกับตลาดมากขึ้นและคาดหวังถึงการผ่อนคลายจากภาครัฐที่จะตามมา อาทิ ลดเวลาเคอร์ฟิว , ขยายระยะเวลาเปิดศูนย์การค้า มองกรอบ SET สัปดาห์นี้ที่ 1,625-1,650 จุด
กลยุทธ์การลงทุน สะสม Domestic Play สำหรับการลงทุนระยะกลางแต่ให้เน้น Laggard (ยังขึ้นน้อย) หรือราคายังไม่เกินกว่าก่อนเกิดโควิด-19 อาทิ (AOT BBL BEM BJC BTS CPN CPALL M MAJOR PLANB VGI) ส่วนระยะสั้นแนะนำหุ้นกำไรครึ่งปีหลังแข็งแกร่งรวมไปถึงหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะ (COM7 CBG GLOBAL KCE SYNEX SIS WICE)
SYNEX (ถือ / ราคาเป้าหมาย 25 บาท) เก็งกำไรระยะสั้นจากผลบวกของการเปิดตัว iPhone 13 ในวันพุธ ส่วนผลประกอบการคาดไตรมาส 3/64 ผลประกอบการจะยังเติบโต จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากความต้องการใช้อุปกรณ์ไอทีที่ยังสูง แต่คาดกำไรอ่อนตัวลง เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า จากผลกระทบจากการปิดหน้าร้านของลูกค้า SYNEX ตามมาตรการล็อกดาวน์
CBG (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 165 บาท) มองราคาหุ้นที่ปรับฐานลงมา 15% จากจุดสูงสุดก่อนหน้าสะท้อนความอ่อนแอของผลประกอบการไปแล้ว โดยคาดผลประกอบการไตรมาส 3/64 ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และไตรมาสก่อนหน้า จากยอดขายที่อ่อนตัวลงในทุกประเทศยกเว้นรายได้จัดจำหน่ายในประเทศ รวมถึงอัตรากำไรขั้นต้นที่อ่อนตัวลงช่วงปีก่อน จากต้นทุนน้ำตาลและอลูมิเนียมที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตามระยะยาวยังมองบริษัทแข็งแกร่ง