นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA) เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจเป้าหมายรายได้รวมปีนี้จะเติบโตสูงเป็นประวัติการณ์ (AII TIME HIGH) และส่วนแบ่งกำไรปกติจะเติบโต 30% เมื่อเทียบกับปีก่อน และคาดกำไรจากการดำเนินการก่อนหักค่าใช้จ่าย (EBITDA) เติบโตมากกว่า 40% จากการขายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท (WHART) มูลค่ากว่า 5.5 พันล้านบาท ในไตรมาสที่ 4/64 ซึ่งให้อัตรากำไร (มาร์จิ้น) ค่อนข้างดี และยอดโอนที่ดินที่คาดกลับมาดีขึ้นในปลายปีนี้
"ด้วยยอดการขายสินทรัพย์เข้ากอง REIT มูลค่ากว่า 5.5 พันลบ. ซึ่งให้มาร์จิ้นดี ขณะเดียวกันเราก็มองว่ายอดโอนของเรา ในไตรมาส 4/64 จะกลับมาดีขึ้น ทำให้เรามองภาพว่าปีนี้มีการเติบโตดีกว่าปีก่อนอย่างแน่นอน จากตัวเลขที่มีอยู่ในมือขณะนี้เท่ากับ 6,000-7,000 ล้านบาทไปแล้ว" นางสาวจรีพร กล่าว
ทั้งนี้ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 บริษัทได้มีการปรับลดเป้าหมายยอดขายที่ดินในปี 64 ลงมาอยู่ที่ 820 ไร่ แบ่งเป็น ยอดขายที่ดินในประเทศ 750 ไร่ ดีกว่าเป้าเดิมเล็กน้อย ในส่วนนี้ประกอบด้วยที่ดินในนิคมฯ 600 ไร่ และนอกพื้นที่นิคมฯ 150 ไร่ ส่วนในประเทศเวียดนาม ปรับลดลงมาอยู่ที่ 70 ไร่ จากเป้าเดิมคาดว่าจะมียอดขายที่ดิน 1,030 ไร่ แบ่งเป็น ในประเทศ 725 ไร่ และเวียดนาม 300 ไร่ เนื่องด้วยการระบาดของไวรัสโควิด-19 ในเวียดนาม ทำให้มีการล็อกดาวน์ประเทศ จึงมีการติดต่อสื่อสารกันยากลำบาก รวมถึงการพัฒนาที่ดินและการส่งมอบที่ดินให้กับลูกค้าทำได้น้อยลง
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์สงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ยังคงเป็นปัจจัยหนุนที่ทำให้ฐานทุนต่างชาติหันมาสนใจการลงทุนโดยเฉพาะไทยและเวียดนาม จึงมีลูกค้าเข้ามาทำสัญญาจองซื้อที่ดินเป็นจำนวนมาก โดย ณ สิ้นไตรมาส 2/64 บริษัทมีพี้นที่ที่ทำสัญญาซื้อขายแล้ว และรอโอนอยู่ที่ 395 ไร่ และมีที่ดินวางมัดจำแล้วอยู่ระหว่างรอเซ็นสัญญา (LOI) ในมืออีก 83 ไร่ ซึ่งการขายที่ดินดังกล่าวนี้ก็คาดว่าในสิ้นปีนี้จะมีฐานรอโอนในปี 65 ค่อนข้างมากพอสมควร
ด้านธุรกิจโลจิสติกส์ บริษัทยังคงเป้าหมายเพิ่มพื้นที่ใหม่ราว 175,000 ตารางเมตร ขณะเดียวกัน Short Term Contact ก็ทำได้ดีกว่าเป้าไปแล้ว หรือปัจจุบันอยู่ที่ 112,000 ตารางเมตร จากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ที่ 50,000 ตารางเมตร คาดว่าทั้งปีนี้จะทำได้ 120,000 ตารางเมตร รวมถึงบริษัทเตรียมขายสินทรัพย์ ได้แก่ โครงการ Built-to-Suit Warehouse และ General Warehouses ขนาด 180,000 ตารางเมตร เข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท (WHART) มูลค่ารวมกว่า 5,500 ล้านบาท ซึ่งรอบนี้มาร์จิ้นค่อนข้างดี
ส่วนธุรกิจน้ำและไฟฟ้า ปีนี้บริษัทยังคงเป้ายอดขายน้ำไว้ที่ 153 ล้านลูกบาศก์เมตร ขณะที่บริการด้านพลังงาน บริษัทตั้งเป้ามีกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้นทั้งสิ้น 670 เมกะวัตต์
ขณะที่ธุรกิจดิจิทัลแพลตฟอร์ม ยังคงดำเนินการตามแผนให้บริการไฟเบอร์ออปติก (FTTx) ในนิคมอุตสาหกรรมทั้ง 10 แห่งของดับบลิวเอชเอในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบัน FTTx ได้ให้บริการแก่ลูกค้าทั้งหมดในนิคมอุตสาหกรรม 6 แห่ง ในขณะที่กำลังดำเนินการติดตั้งให้ครอบคลุมพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมที่เหลืออยู่อีก 4 แห่ง รวมถึงยังขยายความร่วมมือกับสตาร์ทอัพในด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่งเป็นการยกระดับผลิตภัณฑ์และบริการที่มอบให้แก่ลูกค้า
สำหรับงบลงทุนปีนี้ เดิมบริษัทฯ ได้ตั้งงบลงทุนไว้ที่ประมาณ 9 พันล้านบาท แต่ปรับลดลงเหลือ 6.1 พันล้านบาท หลังเลื่อนการลงทุนบางโครงการออกไปเป็นปีหน้า โดยการลงทุนหลักๆ ในปีนี้จะเน้นในส่วนของธุรกิจโลจิสติกส์ รองรับการสร้างอาคารและซื้อที่ดินเพิ่มขึ้น และธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม เพื่อใช้ในการขยายโครงสร้างพื้นฐาน หลักๆ คือนิคมอุตสาหกรรมระยอง 36 (WHA RY36) โดยจะดำเนินการสร้างเสร็จสมบูรณ์ในช่วงปลายปี 64 และเตรียมส่งมอบพื้นที่ให้กับลูกค้า
นางสาวจรีพร กล่าวว่า ด้านภาพรวมอุตสาหกรรมและการลงทุนไทย จะฟื้นตัวได้เร็วขึ้นอยู่กับภาครัฐว่าจะมีการกระตุ้นการลงทุนมากเพียงใด รวมถึงการเร่งการฉีดวัคซีนในประเทศ ซึ่งจะเป็นตัวช่วยสร้างความมั่นใจ และการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) โดยแนะภาครัฐ ดึงเม็ดเงินที่กระจายอยู่ทั่วโลกเข้ามาลงทุนในประเทศให้ได้ โดยเฉพาะบริษัทใหญ่ๆ และให้สิทธิประโยชน์จากการลงทุน อย่างไรก็ตามมองวิกฤติครั้งนี้ไม่เหมือนกับวิกฤติปี 40 โดยยังเห็นการเข้าซื้อกิจการอย่างต่อเนื่อง และเงินทุนสำรองธนาคารพาณิชย์ก็ยังอยู่ในระดับที่ดีมาก สามารถให้ลงทุนเพิ่มได้ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้เงิน