โบรกเกอร์ต่างแนะนำ "ซื้อ" บมจ.เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น (CRC) ลุ้นผลการดำเนินงานฟื้นตัวขึ้นในช่วงไตรมาส 4/64 เป็นต้นไป จากโอกาสการทยอยคลายล็อกดาวน์ทั้งในไทยและเวียดนาม หนุนการกลับมาเปิดสาขาได้มากขึ้น และการกลับมาจับจ่ายใช้สอยในช่วงไตรมาสสุดท้ยของปีนี้ ขณะที่ปัจจัยในประเทศยังมองโอกาสรับผลบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐออกมาเพิ่มเติม ทำให้จะเข้ามากระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 64
อย่างไรก็ตาม มองข้ามผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 3/64 เพราะจะเป็นไตรมาสต่ำที่สุดในปีนี้ที่รับผลกระทบจากการล็อกดาวน์ ทำให้สาขาถูกปิดและการชะลอการจับจ่ายใช้สอย หลังจากที่โควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมามีผู้ติดเชื้อเป็นจำนวนมาก ทำให้คาดว่าจะมีการรายงานผลขาดทุนออกมาในช่วงไตรมาส 3/64 แต่คาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวที่ชัดเจนขึ้นในปี 65 มากขึ้น หากโควิด-19 คลี่คลายลง
ราคาหุ้น CRC ปิดเที่ยงอยู่ที่ 33.50 บาทราคาไม่เปลี่ยนแปลง ขณะที่ดัชนี SET ปรับลง 0.40%
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) บัวหลวง ซื้อ 42.00 ทิสโก้ ซื้อ 40.00 ฟินันเซีย ซื้อ 40.00 หยวนต้า ซื้อ 37.50 คันทรี่ กรุ๊ป ซื้อ 37.50 โนมูระ ซื้อ 37.00 เอเซีย พลัส ซื้อ 36.50 กสิกรไทย ซื้อ 35.70
นายสุวัฒน์ วัฒนพรพรหม ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ภาพรวมของผลการดำเนินงานของ CRC ในช่วงไตรมาส 3/64 จะเป็นจุดต่ำสุดของปีนี้จากการล็อกดาวน์ในประเทศเพื่อควบคุมโควิด-19 แม้ว่าในเดือนก.ย. 64 จะเริ่มมีการผ่อนคลายออกมาบ้าง แต่จะยังไม่ส่งผลหนุนให้ผลการดำเนินงานฟื้นตัวขึ้นได้ โดยที่ต้องมองไปที่ในช่วงไตรมาส 4/64 ที่ผลการดำเนินงานจะฟื้นกลับมาได้โดดเด่นมากขึ้น หลังจากการกลับมาเปิดเมืองอย่างเต็มที่
ในช่วงไตรมาส 4/64 หากสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศเริ่มมีจำนวนผู้ติดเชื้อลดลงมาต่อเนื่อง จะทำให้การกลับมาจับจ่ายใช้สอยฟื้นตัวดีขึ้น แม้ว่าในภาพรวมกำลังซื้อโดยรวมจะยังค่อนข้างตึงตัว แต่ด้วยการที่ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของทุกปีจะเป็นช่วงเทศกาลที่คนออกมาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น
อีกทั้งในช่วงไตรมาส 4/64 ยังคาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่จะออกมาเพิ่มเติม ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนให้ผลการดำเนินงานของ CRC กลับมาฟื้นตัวขึ้นได้มากขึ้น และหวังการพลิกฟื้นกลับมามีกำไรในปี 65 โดยยังแนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 36.50 บาท/หุ้น
ด้านนักวิเคราะห์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า CRC ถือว่าได้รับผลกระทบจากการล็อกดาวน์ในช่วงปลายเดือนก.ค.-ส.ค. 64 ค่อนข้างมาก ทั้งระยะเวลาการขายที่ปรับลดลง และการปิดให้บริการในช่วงเดือนส.ค. 64 ทั้งเดือน แม้ว่าปัจจุบันจะมีการผ่อนคลายล็อกดาวน์แล้ว แต่การกลับมาจับจ่ายใช้สอยยังไม่เร่งตักลับมาอย่างเร็ว จากการที่รายได้ของคนลดลง ทำให้อาจจะยังชะลอการกลับมาจับจ่ายใช้สอย ทำให้ภาพของผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/64 ของ CRC ได้รับแรงกดดันมาก และคาดว่าจะเป็นไตรมาสที่ต่ำที่สุดในปีนี้
อย่างไรก็ตาม ยังคงคาดหวังการกลับมาฟื้นตัวขึ้นของการกลับเข้ามาจับจ่ายใช้สอยของคนมากขึ้นในช่วงไตรมาส 4/64 โดยเฉพาะในกลุ่มของสินค้าที่เกี่ยวข้องกับวัสดุก่อสร้างและของตกแต่งบ้าน ซึ่งจะมีไทวัสดุที่เป็นกลุ่มสินค้าที่จะมีการฟื้นตักลับมาได้เร็ว เพราะในช่วงปลายปีจะมีการโอนที่อยู่อาศัยของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต่างๆมากขึ้น และมีการกลับมาซ่อมแซมบ้านอีกครั้ง หลังจากที่ภาครัฐมีการให้หยุดการทำงานรับเหมาะไปชั่วคราวในช่วงเดือนก.ค.-ส.ค.ที่ผ่านมา
ส่วนกลุ่มสินค้าแฟชั่นและของใช้ต่างๆ คาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวมากขึ้นในช่วงปลายปี ยังคงคาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐเข้ามาเพิ่มเติมในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้จะช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มเติม โดยจากผลกระทบที่เกิดขึ้น ทำให้ปรับประมาณการกำไรลดลงมาจากเดิมที่ 4.7 พันล้านบาท มาเป็น 3.5 พันล้านบาท และปรับราคาเป้าหมาย CRC มาเป็น 35.70 จากเดิมที่ 39.50 แต่ยังคงให้คำแนะนำ "ซื้อ" เพื่อคาดหวังการฟื้นอย่างเต็มที่ในปี 65
นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ รองกรรมการผู้จัดการสายงานค้าหลักทรัพย์บุคคล บล.บัวหลวง กล่าวว่า การลงทุนใน CRC จะต้องมองข้ามผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 3/64 ไป เพราะเป็นไตรมาสที่ได้รับผลกระทบจากการล็อกดาวน์ทั้งในไทยและเวียดนาม ทำให้จะเป็นไตรมาสที่ผลการดำเนินงานจะเป็นจุดต่ำสุดในปี 64 และคาดว่าไตรมาส 3/64 จะประกาศผลขาดทุน และส่งผลให้มีการปรับประมาณกำไรในปีนี้ลงมาเหลือ 3.1 พันล้านบาท จากเดิมที่ 5 พันล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องลุ้นการฟื้นตัวกลับมาที่ชัดเจนขึ้นในช่วงไตรมาส 4/64 ที่ทั้งประเทศไทยและเวียดนามจะมีการคลายล็อกดาวน์เพิ่มมากขึ้น ทำให้การจับจ่ายใช้สอยผ่านสาขากลับมาอีกครั้ง โดยที่ในประเทศไทยอาจจะมีปัจจัยหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเข้ามาสนับสนุนการจับจ่ายใช้สอย ทำให้ CRC จะได้รับผลบวกไปด้วย โดยที่คาดหวังการเริ่มฟื้นตัวกลับมาอีกครั้งในไตรมาส 4/64 และตั้งแต่ปี 65 เป็นต้นไป