นายสุพล จงจินตรักษา ผู้อำนวยการสายการเงิน บมจ.ไซมิส แอสเสท (SA) เปิดเผยว่า แผนการดำเนินธุรกิจในช่วงที่เหลือของปี 64 บริษัทมีแผนจะทยอยเปิดโครงการใหม่ 3 โครงการ มูลค่ารวม 8 พันล้านบาท ได้แก่ แนวราบ 2 โครงการ มูลค่ารวม 6 พันล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยวในทำเลพรานนก และบ้านเดี่ยวในทำเลพุทธมณฑล ส่วนคอนโดมิเนียม 1 โครงการ คือ Blossom Condo ทุ่งสองห้อง มูลค่า 2 พันล้านบาท
ขณะที่บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้ในปี 64 ที่ 4.8 พันล้านบาท โดยมาจากรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยเป็นหลัก ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) กว่า 4.8 พันล้านบาท จะรับรู้รายได้ในช่วงที่เหลือของปีนี้ 30% และส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้รายได้เข้ามาในอีก 3 ปีข้างหน้า
ส่วนธุรกิจอื่นๆ บริษัทตั้งเป้าขยายธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มเพิ่มเติมอีก ซึ่งในเร็วๆนี้จะมีการประกาศความร่วมมือกับพันธมิตรที่อยู่ในธุรกิจอาหารรายใหญ่ในการร่วมเป็นพันธมิตรผลักดัน Cloud Kitchen โดยที่บริษัทมีแผนขยายสาขาร้าน Cloud Kitchen เพิ่มอีก 16 สาขา จากเดิม 4 สาขา รวมเป็น 20 สาขาภายในสิ้นปีนี้ และตั้งเป้าครบ 200 สาขาภายในปีนี้ 3-4 ปีข้างหน้า หรือภายในปี 68 ซึ่งจะมีพื้นให้บริการครอบคลุมทั่วกรุงเทพฯและปริมณฑล เพื่อตอบโจทย์กระแสธุรกิจ Food Delivery ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน และยังมีแนวโน้มการเติบโตมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยธุรกิจดังกล่าวบริษัทคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้ประจำให้กับบริษัทเข้ามาเฉลี่ย 400-500 ล้านบาท/ปี เมื่อขยายสาขาครบ 200 สาขา
ขณะที่ธุรกิจโรงแรมและ Service residence ภายใต้การบริหารงานด้วยกลยุทธ์ Long Stay ที่มาพร้อมกับการบริหารจากแบรนด์โรงแรมชั้นนำ พร้อมอำนวยความสะดวกแก่ผู้พักอาศัยด้วยการบริการชั้นเลิศตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการพักอาศัยเสมือนบ้านตนเองแต่ได้รับการบริการเทียบเท่าโรงแรม 5 ดาว ยังมีการเดินหน้าขยายจำนวยห้องอย่างต่อเนื่อง โดยที่ตั้งเป้าภายในปี 68 จะมีจำนวนห้องพักเพิ่มขึ้นแตะ 1,000 ห้อง จากปัจจุบันมีอยู่ราว 280 ห้อง
การเพิ่มจำนวนห้องพักจะกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้งในปี 65 เป็นต้นไป หลังจากที่โครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างเริ่มทยอยแล้วเสร็จ อีกทั้งมองว่าหลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลงจะเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนให้ธุรกิจให้เช่าห้องพักนั้นกลับมาฟื้นตัวขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติที่เป็นกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัทจะกลับมาเช่าระยะยาวมากขึ้น ซึ่งหากสามารถเพิ่มจำนวนห้องพักได้ถึง 1,000 ห้อง ตามเป้าหมาย จะทำให้มีรายได้จากธุรกิจดังกล่าวเข้ามาเพิ่มขึ้นเป็น 500-600 ล้านบาท/ปี จากปัจจุบันที่มีรายได้เข้ามา 50 ล้านบาท/ปี
นอกจากนี้ ในส่วนของธุรกิจใหม่ คือ ธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์ (AMC) ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อเข้าซื้อทรัพย์ที่เป็น NPA กับสถาบันการเงิน คาดว่าจะมีความชัดเจนในช่วงไตรมาส 4/64 และจะมีการเดินหน้าเข้าซื้อสินทรัพย์มาบริหารอย่างต่อเนื่อง
ด้านการรองรับการรับชำระเงินในการซื้อที่อยู่อาศัยและชำระค่าห้องพักด้วยสกุลเงิน Crypto Currency ของบริษัทนั้น ในไตรมาส 4/64 จะมีการเปิดบริการรับชำระเงินด้วย Crypto Currency อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งให้บริการจาก Bitkub และอยู่ระหว่างการศึกษากับพันธมิตรในการออกโทเคนที่มีสินทรัพย์ค้ำประกัน ซึ่งจะเป็นการช่วยปลดล็อกมูลค่าของสินทรัพย์ที่บริษัทมีอยู่ และเป็นช่องทางการระดมทุนเพิ่มเติมให้กับบริษัท เพื่อนำเงินไปต่อยอดธุรกิจ
นายสุพล กล่าวว่า บริษัทมองภาพการฟื้นตัวของผลการดำเนินงานจะเห็นการฟื้นตัวกลับมาชัดเจนมากขึ้นในช่วงปี 65 เป็นต้นไป หลังจากที่ผ่านพ้นปัจจัยกดดันจากโควิด-19 ในปีนี้ไปแล้ว ซึ่งผลการดำเนินงานจะเป็นลักษณะการค่อยๆฟื้นตัวขึ้นมาตั้งแต่ไตรมาส 4/64 แต่จะฟื้นตัวอย่างชัดเจนในปี 65 ประกอบกับในปีหน้าหากมีการเปิดประเทศจะทำให้กลุ่มลูกค้าต่างชาติที่สนใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยกลับเข้ามาซื้ออีกครั้ง หรือเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวและทำงานในประเทศเข้ามามากขึ้น เป็นปัจจัยหนุนต่อธุรกิจการขายอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจโรงแรมและ Service residence ที่ถูกโควิด-19 ในปีนี้ ฟื้นกลับมาได้ในปีหน้า ซึ่งส่งผลบวกต่ออัตรากำไรสุทธิของบริษัทในปี 65 ที่ตั้งเป้ากลับไปที่ระดับปกติก่อนช่วงโควิด-19 ที่ 15-20% และบริษัทยังตั้งเป้าสัดส่วนรายได้ประจำภายในปี 68 เพิ่มเป็น 10-15% จากปัจจุบันที่สัดส่วนรายได้ยังมาจากการขายอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยกว่า 95%