SCB CIO มองเฟด-ECB ถอน QE ทำตลาดเงินประเทศเกิดใหม่ผันผวน แนะทยอยสะสมหุ้นสหรัฐ-ยุโรป

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday September 14, 2021 16:42 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

SCB Chief Investment Office (CIO) วิเคราะห์ภาพรวมหลังธนาคารกลางหลักเริ่มส่งสัญญาณ QE taper โดยสัญญาณจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะชัดเจนขึ้นจากการประชุมเดือน ก.ย.นี้ คาดว่าจะประกาศรายละเอียดและเริ่มทำในการประชุมเดือน พ.ย. 64 จะทำให้ความผันผวนในตลาดการเงินโลกสูงขึ้นแต่ไม่รุนแรงเท่ากับในปี 56 โดย SCB CIO คาดว่าเฟดจะส่งสัญญาณ QE taper ที่ต่อเนื่องและชัดเจนขึ้นในการประชุม 21-22 ก.ย.นี้ ซึ่งต่างจากปี 63 ที่ QE taper ประกาศสร้างความตกใจให้ตลาด โดยในรอบนี้ทั้งผู้ร่วมตลาดและเฟดล้วนมี

บทเรียนจากปี 56 นอกจากนั้นเฟดเองได้ทำการส่งสัญญาณหรือนวดตลาดล่วงหน้าทำให้ตลาดเริ่มมีการปรับตัวอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการส่งสัญญาณชัดเจนในการแยกการตัดสินใจประเด็น QE taper (คาดว่าจะประกาศรายละเอียดและเริ่มทำในช่วงการประชุมของเฟด 2-3 พ.ย. 64) และการขึ้นดอกเบี้ย (ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในครึ่งแรกปี 66) ออกจากกัน ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรน่าจะเพิ่มขึ้นแบบช้าๆ ซึ่งน่าจะทำให้ผลกระทบต่อตลาดการเงินโลกไม่รุนแรงเท่ากับการทำ QE taper ในปี 56

โดยนอกจากเฟดแล้ว ล่าสุดธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้มีการส่งสัญญาณลดการเข้าเข้าสินทรัพย์อย่างช้าๆ ภายใต้โครงการ Pandemic Emergency Purchase Program (PEPP) ซึ่งจะเริ่มในไตรมาส 4/64 แต่จะยังคงการทำ QE ภายใต้โครงการ Asset Purchase Program (APP) ไว้ต่อ การเลือกตั้งทั่วไปของเยอรมนีที่จะมีขึ้นในวันที่ 26 ก.ย. 64 ไม่น่าจะทำให้ภาพรวมนโยบายเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงมากนัก ในขณะที่การเลือกตั้งสภาล่างและนายกคนใหม่ของญี่ปุ่นน่าจะตามมาด้วยนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นไล่ตามประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆให้ทัน

สำหรับแนวโน้มตลาดการเงินโลก SCB CIO ประเมินการเพิ่มขึ้นแบบช้าๆ ของ US treasury yields จะทำให้หุ้นกลุ่ม quality growth ในสหรัฐฯและยุโรปยังน่าสนใจ สำหรับประเทศในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ที่ฟื้นช้าต้องระวังความผันผวนในตลาดหุ้นและค่าเงิน บทเรียนจากปี 56 บ่งชี้ว่าในตลาดหุ้นทั่วโลก ตลาดหุ้นสหรัฐฯได้รับผลกระทบน้อยกว่าตลาดอื่นทั้งในแง่การปรับตัวลดลงและระยะเวลาฟื้นตัว ตามมาด้วยตลาดหุ้นยุโรป ไต้หวัน เกาหลีใต้

โดยตลาดหุ้นญี่ปุ่นได้รับผลกระทบค่อนข้างมากเนื่องจากปรับขึ้นไปอย่างมีนัยในช่วงก่อนหน้า แต่ก็สามารถทยอยฟื้นตัวกลับมาได้ ในขณะที่กลุ่มประเทศเกิดใหม่ เช่น จีน ไทย อินโดนีเซีย บราซิล ตุรกี และแอฟริกาใต้ ได้รับผลกระทบหนักต่อทั้งตลาดหุ้น ตลาดพันธบัตร และค่าเงิน โดยในช่วงปลายปี 64 คาดว่าอัตราผลตอบแทน US treasury จะอยู่ที่ประมาณ 1.6% ซึ่งเป็นการขยับขึ้นแบบช้าๆ ซึ่งน่าจะส่งผลกระทบจำกัดต่อหุ้นกลุ่ม quality growth ที่ผลประกอบการยังเติบโตต่อเนื่อง

ขณะเดียวกันยังคงกังวลต่อค่าเงินและตลาดหุ้นกลุ่มประเทศเกิดใหม่ ซึ่งแม้เสถียรภาพด้านต่างประเทศจะดีขึ้นเมื่อเทียบกับปี 56 แต่ปัญหาด้านภูมิคุ้มกันของประเทศเกิดใหม่ ส่วนใหญ่อยู่ที่อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจต่ำและฟื้นช้าโดยฉพาะประเทศที่เศรษฐกิจถูกกระทบต่อเนื่องจากสงครามการค้าและโควิด-19

สำหรับกลยุทธ์ในการจัดพอร์ตการลงทุนสินทรัพย์ทั่วโลก (Asset Allocation Portfolio Strategy) SCB CIO ยังคงมีมุมมองบวกต่อหุ้นสหรัฐฯ และยุโรป ปรับมุมมองตลาดหุ้นญี่ปุ่นเป็น slightly positive ปรับมุมมองหุ้นจีน H-share และไทยลงเป็น slightly negative เพราะเชื่อในภาวะตลาดผันผวนจะมีโอกาสดีในการเข้ามาสะสมหุ้นสหรัฐฯ และยุโรป โดยฉพาะหุ้นในกลุ่ม quality growth ที่ยังมีผลประกอบการเติบโตต่อเนื่อง เชื่อในภาวะตลาดผันผวนจะมีโอกาสดีในการเข้ามาสะสมหุ้นสหรัฐฯ และยุโรป โดยฉพาะหุ้นในกลุ่ม quality growth ที่ยังมีผลประกอบการเติบโตต่อเนื่อง และมีมุมมองที่ดีขึ้นต่อหุ้นญี่ปุ่น จากแนวโน้มการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ ราคาหุ้นทียังไม่แพงเมื่อเทียบกับตลาดที่พัฒนาแล้วอื่นๆ และผลกระทบที่น่าจะจำกัดจาก Fed QE taper

จากความเสี่ยงด้านกฎเกณฑ์ภาครัฐที่มีแนวโน้มยืดเยื้อและอาจส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัท ทำให้ปรับมุมมองหุ้นจีน H-share ลงเป็น slightly negative สำหรับตลาด A-share เรายังคงมุมมอง Neutral จากนโยบายมุ่งเน้นเติบโตจากภายในประเทศของจีน เช่น นโยบาย dual circulation และ common prosperity

ในตลาดหุ้นอาเซียนยังคงชอบเวียดนาม แม้เศรษฐกิจและผลประกอบการจะชะลอลงในช่วงไตรมาส 3/64 แต่ผลกระทบได้รับการสะท้อนไปบ้างแล้ว โดยในระยะข้างหน้ามองว่าจะมีการฟื้นตัวได้จากการฟื้นตัวของภาคส่งออกตามเศรษฐกิจโลกและความคืบหน้าในการนำเข้าวัคซีนที่ค่อนข้างดีทำให้การเปิดเมืองและกิจกรรมทางเศรษฐกิจทยอยกลับมาได้

ขณะที่ได้ปรับมุมมองต่อตลาดหุ้นไทยลงเป็น slightly negative จากความตึงตัวของ valuation และผลกระทบจาก QE tapering ต่อเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า และด้วยอัตราผลตอบแทนแท้จริงของ US treasury ที่ยังอยู่ในระดับต่ำในขณะที่ความผันผวนในตลาดหุ้นสูงขึ้น ยังคงมุมมองต่อทองคำขึ้นเป็น Neutral และคงมุมมองต่อน้ำมันที่ slightly negative จากปัจจัยอุปสงค์ที่น่าจะได้รับแรงกดดันจากการเปิดเมืองที่ช้ากว่าคาดโดยเฉพาะจากประเทศ EMs

อีกทั้งยังคงมุมมองต่อสินทรัพย์ในตลาดที่พัฒนาแล้ว และกองรีทในอาเซียน เป็น Neutral โดยที่กองรีทในตลาดที่พัฒนาแล้ว แม้มีการเปิดเมืองต่อเนื่อง แต่ valuation ค่อนข้างตึงตัว ในขณะที่กองรีทในอาเซียน แม้ราคาถูกแต่ผลกระทบของสายพันธุ์เดลต้าที่มีแนวโน้มยืดเยื้อ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ