นายณัฎฐปัญญ์ ศิริวิริยะกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่ม บมจ.เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น (KTIS) เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจว่าผลประกอบการตั้งแต่ไตรมาส 4/64 เป็นต้นไปจะดีขึ้นตามเศรษฐกิจที่เริ่มทยอยฟื้นตัว ส่งผลให้ความต้องการบริโภคน้ำตาลในตลาดกลับมา ประกอบกับฤดูการผลิตปี 64/65 ซึ่งจะมีอ้อยเข้าหีบในปลายปีนี้ พบว่าได้รับผลดีจากปริมาณฝนในพื้นที่เพาะปลูกมากกว่าปีก่อน คาดว่าจะมีปริมาณอ้อยเพิ่มขึ้นจากปีก่อนไม่น้อยกว่า 25% ซึ่งจะส่งผลดีต่อทุกสายธุรกิจ ทั้งการผลิตและจำหน่ายน้ำตาล เอทานอล ไฟฟ้า และเยื่อกระดาษจากชานอ้อย ซึ่งจะมีวัตถุดิบเข้าสู่กระบวนการผลิตมากขึ้นกว่าในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาภัยแล้งและการแพร่ระบาดโควิด-19
"ถ้าเราได้วัตถุดิบหลักคืออ้อยในปริมาณมากขึ้น รายได้จากการจำหน่ายน้ำตาลและอุตสาหกรรมต่อเนื่องก็จะดีขึ้นทั้งหมด เพราะจะมีโมลาสที่นำไปผลิตเอทานอลมากขึ้น มีชานอ้อยที่นำไปเป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้ามากขึ้น และมีชานอ้อยเข้าสู่กระบวนการผลิตเยื่อกระดาษมากขึ้นด้วย เมื่อประกอบกับราคาขายน้ำตาล เอทานอล ไฟฟ้า และเยื่อกระดาษ ที่มีแนวโน้มที่ดี จากดีมานด์ที่สูงขึ้นหลังการผ่อนคลายการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัว ก็จะยิ่งส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานของกลุ่ม KTIS ในปี 65" นายณัฎฐปัญญ์ กล่าว
ขณะที่ในปี 65 บริษัทจะเริ่มรับรู้รายได้จากกลุ่มธุรกิจใหม่เพิ่มเติมเข้ามาอีกด้วย คือ โครงการผลิตบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมจากเยื่อชานอ้อย ซึ่งมีกำลังการผลิต 50 ตันต่อวัน โดยมีเครื่องจักร 50 เครื่องที่สามารถผลิตบรรจุภัณฑ์ออกสู่ตลาดได้หลากหลายรูปแบบ เช่น จาน ชาม กล่อง ถาดหลุม เป็นต้น และยังมีการผลิตและจำหน่ายหลอดชานอ้อยออกทดลองตลาดมาระยะหนึ่งแล้ว ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี
ประกอบกับ จะมีรายได้จากโครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ (NBC) เฟส 1 ซึ่งดำเนินการโดยบริษัท จีจีซี เคทิสไบโออินดัสเทรียล จำกัด (GKBI) บริษัทร่วมทุนระหว่างกลุ่ม KTIS และ บมจ.โกลบอลกรีนเคมิคอล (GGC) ซึ่งมีโรงงานผลิตเอทานอล กำลังการผลิต 6 แสนลิตรต่อวัน และโรงไฟฟ้า 3 โรง กำลังการผลิตติดตั้งรวม 85 เมกะวัตต์ ปัจจุบันก่อสร้างคืบหน้ากว่า 90% และจะเริ่มดำเนินการได้ในปี 65
นอกจากนี้บริษัท NatureWorks ผู้ผลิตพลาสติกชีวภาพระดับโลกยังประกาศลงทุนในโครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ (NBC) เฟส 2 เพื่อผลิตพลาสติกที่สามารถย่อยสลายได้จากวัสดุธรรมชาติ รวมไปถึงเป็นโรงไฟฟ้าแบบชีวมวล โดยทาง NatureWorks ใช้งบลงทุนราว 1,430 ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถ COD ได้ช่วงไตรมาส 3/67 ซึ่งโครงการดังกล่าวจะพัฒนาต่อยอดการวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพขั้นสูง รวมไปถึงเพิ่มปริมาณการใช้น้ำตาล ซึ่งจะสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรอีกด้วย
"นับตั้งแต่ที่บริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อปี 57 พร้อมกับการลงทุนในโครงการใหม่ๆ หลายโครงการ ก็ต้องนับว่าปี 65 ที่จะถึงนี้ เป็นพัฒนาการที่สำคัญอีกครั้งหนึ่งของกลุ่ม KTIS เพราะมีการรับรู้รายได้จากการขยายการลงทุน รวมถึงสร้างมูลค่าเพิ่มจากผลิตภัณฑ์เดิมด้วย เช่น การผลิตบรรจุภัณฑ์จากเยื่อชานอ้อยและหลอดชานอ้อย ที่สามารถเพิ่มมูลค่าของเยื่อชานอ้อยให้สูงขึ้นเกือบ 4 เท่าตัว หรือการจำหน่ายแอลกอฮอล์สำหรับทำความสะอาดมือ แบรนด์ KNAS ก็เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มของโรงงานผลิตเอทานอล และยังมีส่วนสำคัญในการช่วยเหลือสังคม ทำให้ประชาชนได้มีแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อโรคใช้ในราคาที่เป็นธรรมอีกด้วย" นายณัฎฐปัญญ์ กล่าว