CONSENSUS: โบรกฯเชียร์"ซื้อ"CKP เล็ง Q3/64 ทำนิวไฮจากปริมาณน้ำมาก,สรุปโรงไฟฟ้าลาว Q4/64

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday September 17, 2021 16:13 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

          โบรกเกอร์                คำแนะนำ                  ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น)
          เคจีไอ                      ซื้อ                         7.10
          ฟินันเซีย ไซรัส                ซื้อ                         6.60
          เมย์แบงก์ กิมเอ็ง             ทยอยซื้อ                      6.50
          กรุงศรี                      ซื้อ                         6.50
          คันทรี่ กรุ๊ป                   ซื้อ                         6.40
          เคทีบีเอสที                   ซื้อ                         6.20
          นายสุรชัย ประมวลเจริญกิจ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า คาดกำไรในไตรมาส 3/64 จะทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ระดับ 1,000 ล้านบาท เติบโต 41% จากไตรมาสก่อนหน้า และเติบโต 20% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนในไตรมาส 4/64 โดยปกติจะเป็นช่วงโลซีซั่น น้ำฝนน้อย คาดว่ากำไรจะลดลงมาที่ 300 ล้านบาท ขณะที่คาดว่าปีนี้จะเห็นกำไรที่ 2,160 ล้านบาท เติบโต 449% จากปีก่อน
          ปัจจัยบวกที่สนับสนุนให้กำไรไตรมาส 3/64 และปีนี้ทำสถิติสูงสุดใหม่ เป็นผลมาจากปริมาณน้ำไหลผ่านโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำไซยะบุรีมากขึ้นเป็นพิเศษ จากฝนที่ตกค่อนข้างมาก และจีนปล่อยน้ำออกมามากด้วย ส่งผลให้ปริมาณการขายไฟฟ้าในเดือน ก.ค.-ส.ค.64 ดีกว่าไตรมาสก่อน และช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตาม โดยปกติแล้วไตรมาส 3 ของทุกปีจะเป็นช่วงของไฮซีซั่นของโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำไซยะบุรี แต่ปีนี้จะเห็นได้ว่าดีกว่าปีก่อน
          ขณะที่เดือน ก.ย.นี้ คาดว่าหากมีปริมาณการขายไฟเท่ากับปีก่อน และจะเห็นตัวเลขการขายไฟฟ้าในไตรมาส 3/64 อยู่ที่ 2,449 ล้านหน่วย ส่งผลให้ CKP ที่ถือหุ้นอยู่ 42.5% จะมีส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนของไชยะบุรีเข้ามาราว 800 ล้านบาท และเมื่อรวมกับโรงไฟฟ้าน้ำงึม 2 วางเป้าขายไฟฟ้าที่ 510 ล้านหน่วย เติบโตจากปีก่อน ดังนั้น จึงคาดว่าไตรมาส 3/64 กำไรจะทำสถิติสูงสุดใหม่
          ยังมีอีกปัจจัยหนึ่ง คือ โครงการโรงไฟฟ้าหลวงพระบาง ขนาดกำลังการผลิต 1,410 เมกะวัตต์ มูลค่าโครงการรวม 1.5-1.6 แสนล้านบาท คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปลายปีนี้ ซึ่งหากมีความชัดเจนของโครงการดังกล่าวก็จะเป็น Upside โดย CKP  ตั้งเป้ามีกำลังการผลิตราว 5,000 เมกะวัตต์ใน 4-5 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันมีอยู่ 2,100 เมกะวัตต์
          นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์ คาดกำไรไตรมาส 3/64 จะเติบโตทั้งช่วงเดียวกันของปีก่อน และไตรมาสก่อนหน้า หนุนจากไฮซีซั่นในไตรมาส 3/64 และการถือหุ้น บริษัท ไซยะบุรี พาวเวอร์ จำกัด (XPCL) เพิ่มขึ้น 5% ขณะที่ปริมาณน้ำของ XPCL ใน ก.ค.ยังคงเพิ่มขึ้นเป็น 4,313 CMS เพิ่ม 43% จากช่วงปีก่อน และ 8% จากเดือนก่อนหน้า สะท้อนปริมาณผลิตไฟฟ้าสูงขึ้น, ปริมาณผลิตไฟฟ้าที่เขื่อนน้ำงึม 2 (NN2) ในไตรมาส 3/64 เบื้องต้นอยู่ที่ 555 กิกะวัตต์ชั่วโมง (GWh) เพิ่มขึ้น 18% จากปีก่อน และ 9% จากไตรมาสก่อนหน้า และบริษัทไม่มีการปิดซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้าความร้อนร่วมบางปะอิน (BIC) เหมือนในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา
          รวมถึงยังเตรียมออกหุ้นกู้ ในวงเงิน 4 พันล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 2.4% ต่อปี ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการเงินเฉลี่ยลงสู่ 3.10% จาก 3.23% ในปีก่อน
          นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคทีบีเอสที ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ยังคงคำแนะนำ"ซื้อ" CKP โดยมีปัจจัยมาจาก ปริมาณขายไฟฟ้าในโครงการหลักเพิ่มขึ้นในเดือน ส.ค.64 โดยโครงการไซยะบุรี เพิ่มขึ้น 4% จากช่วงปีก่อน และเพิ่มขึ้น 18% จากเดือนก่อนหน้า และโครงการน้ำงึม 2 เพิ่มขึ้น 13% จากช่วงปีก่อน  และเพิ่มขึ้น 61% จากเดือนก่อนหน้า
          และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำหลวงพระบาง คาดเห็นความชัดเจนภายในปี 64
          ทั้งนี้ ไตรมาส 3/64 เป็น peak season จากปริมาณการผลิตไฟฟ้าในเดือน ส.ค.64 ที่เพิ่มขึ้น โดยเบื้องต้นคาดกำไรปกติจะอยู่ที่ระดับ 900 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 7425% จากปีก่อน และเพิ่มขึ้น 32% จากไตรมาสก่อนหน้า) อย่างไรก็ตามได้ลดน้ำหนักการเกิด upside อย่างมีนัยสำคัญต่อประมาณการกำไรปกติปี 64 ที่ 1.8 พันล้านบาท ลง หลังอัตราการไหลของน้ำและปริมาณน้ำไหลเข้าในโครงการหลักที่เห็นการอ่อนตัว อาจส่งผลต่อการผลิตไฟฟ้าในช่วงที่เหลือของปี ซึ่งยังคงต้องติดตามอิทธิพลทางสภาพอากาศต่อไป
          สำหรับราคาหุ้นปัจจุบัน underperform SET ช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาราว -9% คาดมาจากมาตรการโควิด-19 ที่ผ่อนคลายมากขึ้น ทำให้หุ้น defensive ลดความน่าสนใจลง อย่างไรก็ตาม คาดราคาหุ้นจะกลับมา outperform ตลาดในระยะถัดไปจากการเข้าสู่ช่วง peak season ในไตรมาส 3/64
          นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยสำคัญที่จะเพิ่มมูลค่าให้แก่หุ้น คือ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำหลวงพระบาง ขนาดกำลังการผลิต 1,460 เมกะวัตต์ ( CKP ถือหุ้น 42%) โดยหากอิงมูลค่าลงทุนที่ราว 2.0 ล้านเหรียญฯ ต่อเมกะวัตต์, project D/E 3/1 และ IRR ที่ราว 15% คาดสร้างมูลค่าเพิ่มแก่หุ้นอีกราว 1.70 บาท ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างเจรจาสัญญา คาดแล้วเสร็จในปีนี้

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ