TOG บวก 2.44% หลังกำไรสุทธิ Q3/50 พุ่ง 126%,โบรกฯแนะ"ซื้อเก็งกำไร"

          หุ้น TOG ราคาวิ่งขึ้น 2.44% มาอยู่ที่ 4.20 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท มูลค่าซื้อขาย 26.95 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.23 น. โดยเปิดตลาดที่ 4.14 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 4.20 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 4.10 บาท 
          TOG และบริษัทย่อย ประกาศผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3/50 มีกำไรสุทธิ 39.82 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.10 บาท เพิ่มขึ้น 126% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 17.63 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.04 บาท เนื่องจากรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการขายสินค้ากลุ่มมูลค่าเพิ่ม และการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ต้นทุนการผลิตและขายลดลง
          บทวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย)แนะ"ซื้อเก็งกำไร"หุ้น TOG ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นหลังจากการปรับลงอย่างรุนแรงแต่ยังคงมีมูลค่าใกล้เคียงราคาเหมาะสมที่ 4.20 บาท/หุ้น 
          บมจ.ไทยออพติคอล กรุ๊ป (TOG) ได้ประกาศผลประกอบการประจำไตรมาส 3/50 ออกมามีกำไรสุทธิที่ 40 ล้านบาท (กำไรสุทธิต่อหุ้นที่ 0.10 บาท) ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับแผนการผลิตสินค้าเลนส์แว่นตาที่มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นนับจากช่วงต้นปีที่ผ่านมา โดยในปัจจุบันมีสัดส่วนเมื่อเทียบกับเลนส์ธรรมดาที่ 50/50 TOG มียอดขายในไตรมาส 3/50 ที่ 311 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 4% จากช่วงกันของปีก่อน 
          อย่างไรก็ตาม ยอดขายเมื่อเทียบกับไตรมาส 2/50 ลดลง 16% เนื่องจากธรรมดาแล้ว ยอดขายจะเพิ่มขึ้นมากสุดในไตรมาส 4 ของทุกปี ซึ่งเป็นช่วงเทศกาลวันหยุดปีใหม่ ในแง่ของอัตรากำไรขั้นต้น ต้นทุนที่สูงขึ้นจากการปรับตัวของราคาน้ำมันโลกจะถูกทดแทนโดยการปรับแผนการผลิตจากเลนส์ราคาถูกมายังเลนส์ที่มีเทคโนโลยีและมูลค่าที่สูงขึ้น ซึ่งส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้น โดยอัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 3/50 อยู่ที่ 30.2% จาก 28.3% ในไตรมาส 2/50 แต่สูงกว่าปีที่ผ่านมาพอสมควร ที่ 21.6% ในไตรมาส 3/49 
          ถึงแม้ทางบริษัทจะมียอดคำสั่งซื้อประมาณ 60 ล้านบาท จากทางยุโรป ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถช่วยผลักดันยอดขายได้ในไตรมาส 4/50 อย่างไรก็ตาม ได้รวมการประเมิณคำสั่งซื้อเหล่านี้ไว้แล้ว ซึ่งยังจะคงรายได้ในปีนี้ไว้เช่นเดิมที่ 1,425 ล้านบาท และกำไรสุทธิที่ 134 ล้านบาท (EPS  ที่ 0.33 บาท) ทาง TOG จะทยอยปรับการผลิตที่จะลดยอดการผลิตเลนส์ธรรมดาลงและเพิ่มการผลิตเลนส์พิเศษให้มากขึ้น ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงกว่าในปี 2551 โดยคาดว่าการปรับแผนการผลิตจะสามารถคงระดับการเติบโตของรายได้ที่คาดไว้ในปี 2551 นี้ ที่ 1,446 ล้านบาท และกำไรสุทธิที่ 139 ล้านบาท (EPS  ที่ 0.35 บาท)