บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) เข้าซื้อหุ้นจำนวน 200 ล้านหุ้น คิดเป็น 10% ของหุ้นทั้งหมด/สิทธิออกเสียงในบมจ.อาร์ แอนด์ บี ฟู้ด ซัพพลาย (RBF) มูลค่าการลงทุนราว 3,000 ล้านบาท จากนายสมชาย รัตนภูมิภิญโญ และ นางเพ็ชรา รัตนภูมิภิญโญ
RBF เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุดิบที่ใช้เป็นส่วนผสมในอาหารที่ผ่านการวิจัยและพัฒนาโดยนวัตกรรมขั้นสูง เช่น วัตถุแต่งรส (Flavor) ที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม วัตถุแต่งกลิ่น (Fragrance) ที่ใช้เป็นส่วนผสมของน้ำหอมและเครื่องสำอาง กลุ่มสินค้า Food Coating รวมถึงผลิตภัณฑ์ ส่วนประกอบอาหารอื่น ๆ ซึ่งช่วยสร้างมูลค่าและดวามแตกต่างให้สินด้า รวมถึงเป็นการเพิ่มคุณภาพและโภชนาการของสินค้าให้ดียิ่งขึ้นตามความต้องการของกลุ่มลูกค้าต่างๆ
สำหรับการเข้าลงทุนในครั้งนี้ บริษัทฯ คาดจะช่วยสร้างโอกาสและความเติบโตของบริษัทในธุรกิจส่วนผสมในอาหาร โดยเฉพาะสำหรับตลาดผู้บริโภคในอาเซียนที่ต้องการสินค้าที่มีความซับซ้อนมากขึ้น และจะช่วยเสริมธุรกิจทั้งในส่วนสินค้าหลักของบริษัท และผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ รวมไปถึงสินค้าโปรตีนทางเลือก และอาหารสัตว์เลี้ยงด้วย
ด้าน RBF แจ้งว่า บริษัทได้รับแจ้งจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ ว่า ในวันที่ 20 กันยายน 2564 จะมีการขายหุ้น RBF ผ่านระบบการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์บนกระดานรายใหญ่ (Big Lot Board) โดยผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทฯ จำนวนรวม 200,000,000 หุ้น หรือคิดเป็น 10.00% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทฯ โดยมีขนาดรายการประมาณ 3,000 ล้านบาท ซึ่งรายการดังกล่าวเกิดจากการขายหุ้น โดยนางเพ็ชรา รัตนภูมิภิญโญ และนายสมชาย รัตนภูมิภิญโญขายออกรายละ 5% ทำให้หลังทำรายการผู้ถือหุ้นทั้ง 2 รายจะเหลือถือหุ้นรายละ 22.80%
ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้รับแจ้งจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ ว่าการขายหุ้นของบริษัทฯ ในครั้งนี้เป็นการขายให้กับ TU โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อการเข้าเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ (Partnership) กับบริษัทฯโดยธุรกรรมครั้งนี้นำมาซึ่งโอกาสทางธุรกิจในการร่วมพัฒนาและผลิตวัตถุดิบอาหาร ยกตัวอย่างเช่น วัตถุแต่งกลิ่นจากธรรมชาติให้กับธุรกิจภายใต้กลุ่มของ TU อีกทั้งเป็นโอกาสในการผลักดันและส่งเสริมแผนขยายธุรกิจของบริษัทฯ ในต่างประเทศ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องและแข็งแกร่งในอนาคตของบริษัทฯ โดย TU จะเสนอตัวแทนเข้ามาอยู่ในคณะกรรมการบริษัทฯเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือในพันธมิตรทางธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม การขายหุ้นของบริษัทฯ ในครั้งนี้ไม่มีผลกระทบต่อโครงสร้างการบริหารจัดการและนโยบายการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ แต่อย่างใด
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TU กล่าวว่า บริษัทฯ ได้เข้าลงทุนเชิงกลยุทธ์ 10% เป็นมูลค่าประมาณ 3 พันล้านบาท ใน RBF ซึ่งเป็นบริษัทผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจวัตถุดิบที่ใช้เป็นส่วนผสมในอาหาร ทั้งวัตถุแต่งรส สี และสารปรุงแต่งอาหารหลากหลายชนิด การลงทุนครั้งนี้เกิดขึ้นจากการทำงานร่วมกันระหว่างสองบริษัทมาเป็นระยะยาวนาน โดย RBF ได้จัดหาส่วนผสมอาหารที่ได้คุณภาพให้กับไทยยูเนี่ยน
การลงทุนในครั้งนี้จะช่วยสร้างโอกาสและความเติบโตให้กับไทยยูเนี่ยนในธุรกิจส่วนผสมในอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับตลาดผู้บริโภคในอาเซียนที่ต้องการสินค้าที่มีความซับซ้อนมากขึ้น อาร์บีเอฟมีความเชี่ยวชาญในนวัตกรรมผลิตส่วนผสมในอาหารต่างๆ เช่น วัตถุแต่งกลิ่นธรรมชาติ หรือสารสกัดจากกัญชง จะช่วยเสริมทั้งในส่วนของสินค้าหลักและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ของไทยยูเนี่ยน รวมไปถึงสินค้าโปรตีนทางเลือกและอาหารสัตว์เลี้ยง สำหรับอาร์บีเอฟ ความร่วมมือในครั้งนี้ยังช่วยเปิดโอกาสให้อาร์บีเอฟได้เข้ามาจัดหาส่วนผสมอาหารและเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานของไทยยูเนี่ยน ตลอดจนสามารถขยายธุรกิจไปยังตลาดต่างประเทศผ่านเครือข่ายธุรกิจของไทยยูเนี่ยนที่มีอยู่ทั่วโลก นอกจากนี้ทั้งสองบริษัทยังมีวิสัยทัศน์ในด้านนวัตกรรมอาหารที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค และต่อยอดสินค้าและผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับคู่ค้าทางธุรกิจ
"หนึ่งในกลยุทธ์ที่สำคัญของไทยยูเนี่ยนคือการขยายธุรกิจไปสู่การเติบโตและการทำกำไรที่ดีขึ้น ซึ่งการลงทุนในครั้งนี้ตอบโจทย์กลยุทธ์ดังกล่าวของบริษัท โดยทางอาร์บีเอฟเองมีประสบการณ์มากกว่าสามทศวรรษในธุรกิจวัตถุดิบที่ใช้เป็นส่วนผสมในอาหารและเครื่องดื่มในประเทศไทย ไทยยูเนี่ยนมีความยินดีที่ได้ร่วมมือทางธุรกิจกับอาร์บีเอฟ และหวังว่าจะได้ร่วมมือกันพัฒนาธุรกิจให้เติบโตขึ้นไปทั่วโลก ในการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ ทั้งด้านรสชาติและโภชนาการ ด้วยนวัตกรรมของทั้งสองบริษัท"
นายสมชาย รัตนภูมิภิญโญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร RBF กล่าวว่า เราเชื่อมั่นว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะสร้างความได้เปรียบและความแข็งแกร่งให้กับทั้งสองบริษัท ด้วยประสบการณ์มากกว่า 35 ปีของเราในธุรกิจ จะช่วยเสริมทัพให้กับผลิตภัณฑ์ของไทยยูเนี่ยน และด้วยธุรกิจของไทยยูเนี่ยนที่มีอยู่ทั่วโลก จะช่วยเสริมศักยภาพของอาร์บีเอฟในการก้าวกระโดดจากธุรกิจส่วนผสมในอาหารระดับภูมิภาค ไปสู่ระดับโลกต่อไป