นายวีระ ธิตยางกรุวงศ์ ผู้จัดการแผนกสายงานนักลงทุนสัมพันธ์ บมจ.จีเอฟพีที (GFPT) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะใกล้เคียงกับครึ่งปีแรก โดยสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลกระทบมากในช่วงไตรมาส 3/64 ทำให้การผลิตอาจจะทำได้ไม่เต็มที่ จากมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ภายในโรงงาน และการบริโภคชะลอตัวลง อีกทั้งยังได้รับผลกระทบจากราคาต้นทุนอาหารสัตว์ที่ยังอยู่ในระดับสูง และต้นทุนการขนส่งสูงขึ้น กดดันตรากำไรขั้นต้นของบริษัทค่อนข้างมาก และเป็นปัจจัยที่กดดันต่อกำไรในปี 64 ตลอดทั้งปี
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปัจจุบันค่าเงินบาทจะอ่อนค่า แต่จากการที่บริษัทมีการส่งออกที่รับรู้เป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯอยู่แล้ว ซึ่งเป็นการบริหารแบบ Natural hedge ทำให้การอ่อนค่าของเงินบาทไม่ได้ส่งต่อบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ และบริษัทยังมีสัดส่วนการส่งออกไม่มากที่ 15-20% เพราะส่วนใหญ่เป็นการขายในประเทศเป็นหลักในสัดส่วน 80-85% โดยที่ตลาดในต่างประเทศส่วนใหญ่เป็นญี่ปุ่นสัดส่วน 40% ยุโรป 28% จีน 22% และอื่นๆ 10%
สำหรับผลงานทั้งปี 64 บริษัทคาดว่ารายได้จะทรงตัวหรือเติบโตได้ 5% จากปีก่อน ซึ่งการเติบโตจะยังไม่เห็นการเติบโตที่สูงมาก เนื่องจากในช่วงปลายไตรมาส 2/64 และไตรมาส 3/64 ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ในประเทศ ทำให้กระทบต่อการผลิตในบางส่วน และราคาเนื้อไก่ยังคงทรงตัวตั้งแต่ช่วงต้นปี 64 ขณะที่กำไรจะได้รับแรงกดดันจากราคาข้าวโพดและกากถั่วเหลือง ซึ่งเป็นต้นทุนผลิตอาหารไก่ปรับตัวสูงขึ้น และค่าขนส่งปรับเพิ่มขึ้น กระทบต่อกำไรในปีนี้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งบริษัทพยายามควบคุมต้นทุนต่างๆอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อไม่ให้มีผลกระทบมากนัก
ขณะที่ในด้านการผลิตบริษัทอยู่ระหว่างทดสอบหน่วยการผลิตไก่ปรุงสุกแปรรูปที่ได้รับความเสียหายเมื่อปี 62 ซึ่งได้มีการนำเครื่องผลิตไก่ปรุงสุกเข้ามาเพิ่มอีก 5 เครื่องทำให้มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 2,500 ตัน/เดือน จากเดิมที่ผลิตได้ 2,000 ตัน/เดือน ซึ่งจะเริ่มสามารถเดินเครื่องผลิตเชิงพาณิชย์ได้เต็ม 100% ในช่วงไตรมาส 4/64 ทำให้กำลังการผลิตของบริษัทรวมของเดิมจะกลับมาเพิ่มเป็น 7,500 ตัน/เดือน สามารถรองรับความต้องการของลูกค้าในและต่างประเทศได้อย่างพอเพียง