ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ชุดปัจจุบันของ บมจ. เอสพีซีจี (SPCG) ที่ระดับ "A-" ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 1.5 พันล้านบาทของบริษัทที่ระดับ "A-" ด้วย ทั้งนี้ อันดับเครดิตของหุ้นกู้ชุดใหม่ใช้แทนอันดับเครดิตหุ้นกู้เดิมจำนวนไม่เกิน 5 พันล้านบาทที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2564 เนื่องจากบริษัทมีความประสงค์ที่จะลดวงเงินรวมของหุ้นกู้เป็นไม่เกิน 1.5 พันล้านบาท โดยเงินที่ได้จากออกหุ้นกู้ครั้งนี้ บริษัทจะนำไปใช้เป็นเงินทุนสำหรับโครงการพลังงานแสงอาทิตย์โครงการใหม่
อันดับเครดิตสะท้อนถึงกระแสเงินสดที่แน่นอนจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ซึ่งมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวและความเสี่ยงด้านการดำเนินงานที่ต่ำ ในทางกลับกัน อันดับเครดิตยังพิจารณาถึงสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปของธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ นอกจากนี้ อันดับเครดิตก็ลดทอนลงบางส่วนจากกระแสรายได้ที่จะลดลงจากส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) ของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ทยอยหมดอายุลง และภาระหนี้ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 รายได้ของบริษัทอยู่ที่ 2.4 พันล้านบาท ลดลง 10% จาก 2.6 พันล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2563 รายได้ที่ลดลงส่วนใหญ่เป็นผลมาจากปริมาณการขายไฟฟ้าที่ลดลงและ Adder ของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 3 โครงการที่ทยอยหมดอายุลง นอกจากนี้ รายได้จากธุรกิจรับติดตั้งโครงการพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาลดลงเหลือ 121 ล้านบาท จาก 188 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2563 กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) อยู่ที่ 2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 2563 ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2564 หนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วของบริษัทอยู่ที่ 2.7 พันล้านบาท โดยมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย 0.7 เท่า
ตามประมาณการกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้ง คาดว่าผลประกอบการของบริษัทจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นไปเมื่อโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จำนวนหนึ่งจะไม่ได้รับส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าอีกต่อไป ถึงแม้ว่าบริษัทคาดหวังจะสร้างรายได้ในอนาคตจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ในพื้นที่ EEC แต่ทริสเรทติ้งประมาณการว่ารายได้จากโครงการดังกล่าวจะยังไม่เพียงพอที่จะชดเชยรายได้ที่ลดลงจากการหมดอายุของส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า ทริสเรทติ้งประมาณการ EBITDA ของบริษัทไว้ที่ 3.2 พันล้านบาทในปี 2564 หรือลดลง 20% จาก 4 พันล้านบาทในปี 2563 และ EBITDA จะลดลงอีกเป็น 3.1 พันล้านบาทในปี 2566
ตามประมาณการกรณีพื้นฐาน ทริสเรทติ้งคาดว่าโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ใหม่ในพื้นที่ EEC จะต้องใช้เงินลงทุนราว 1.5 หมื่นล้านบาทสำหรับโครงการระยะเริ่มต้นจำนวน 315 เมกะวัตต์ ทริสเรทติ้งประมาณการว่าหนี้รวมของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 1.4 หมื่นล้านบาทในปี 2565-2566 ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจาก 2.1 พันล้านบาทในปี 2563 ด้วยเหตุนี้จึงคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA จะเพิ่มขึ้นเป็น 4.5 เท่าใน 2566 ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 0.5 เท่าในปี 2563 อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนจะเพิ่มขึ้นเป็น 41% ในปี 2566 เทียบกับ 11% ในปี 2563 ซึ่งบ่งบอกถึงความเสี่ยงทางการเงินที่เพิ่มสูงขึ้น
ณ เดือนมิถุนายน 2564 บริษัทไม่มีหนี้ที่มีลำดับความสำคัญมากกว่าหนี้ในระดับบริษัท อย่างไรก็ตาม บริษัท SET Energy ซึ่งบริษัทถือหุ้นอยู่ 80% และเป็นบริษัทโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในพื้นที่ EEC นั้นจะก่อภาระหนี้เพื่อพัฒนาโครงการ โดยภาระหนี้ขนาดใหญ่ที่จะก่อขึ้นโดย SET Energy นั้นถือว่าเป็นหนี้ที่มีลำดับความสำคัญมากกว่าหนี้ในระดับบริษัทเอสพีซีจีซึ่งอาจเป็นผลให้อันดับเครดิตของหุ้นกู้ที่ออกโดยบริษัทจะถูกปรับลดลงต่ำกว่าอันดับเครดิตองค์กร 1 ขั้นเนื่องจากมีความด้อยสิทธิทางโครงสร้าง (Structural Subordination)
แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถรักษาระดับประสิทธิภาพโรงไฟฟ้าให้สูงกว่า 75% ได้ในอีก 3 ปีข้างหน้า และบริษัทสามารถพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในพื้นที่ EEC ได้ตามแผนและสามารถสร้างกระแสเงินสดได้ตามคาด ในขณะที่บริษัทมีผลการดำเนินงานและการก่อภาระหนี้ตามที่ประมาณการ
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง การปรับเพิ่มอันดับเครดิตยังคงมีจำกัด ซึ่งเป็นผลกระทบจากส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าที่จะหมดลง นอกจากนี้ โครงสร้างทางการเงินของบริษัทก็ยังอ่อนแอลงจากการก่อภาระหนี้เพื่อเพื่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แห่งใหม่ใน EEC
ในทางกลับกัน ปัจจัยที่อาจทำให้มีการลดอันดับเครดิตก็อาจเกิดขึ้นได้หากกระแสเงินสดของบริษัทหดตัวอย่างรุนแรงซึ่งอาจเกิดจากผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าที่ต่ำกว่าคาดหรือการที่บริษัทไม่สามารถหาธุรกิจเพื่อชดเชยกระแสเงินสดที่กำลังลดลงได้ แรงกดดันต่ออันดับเครดิตอาจเพิ่มขึ้นได้หากความเสี่ยงทางการเงินของบริษัทสูงขึ้นจากการก่อภาระหนี้จำนวนมากเพื่อลงทุนในโครงการใหม่ ๆ