นายชลัช ชินธรรมมิตร์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.น้ำตาลขอนแก่น (KSL) เปิดเผยว่า บริษัทว่าคาดปริมาณอ้อยเข้าหีบปี 65 ที่จะเริ่มฤดูกาลหีบอ้อยในช่วงเดือนปลายเดือน พ.ย.64 ไปจนถึงเดือน มี.ค.65 จะเพิ่มขึ้นมาที่ระดับ 6 ล้านตันอ้อย และมีปริมาณน้ำตาลที่ 6-7 แสนตัน จากปี 64 ที่มีปริมาณอ้อยเข้าหีบอยู่ที่ 4.77 ล้านตันอ้อย คิดเป็นปริมาณการผลิตน้ำตาลประมาณ 5.28 แสนตัน
ทั้งนี้ ปัจจัยหนุนมาจากปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมาค่อนข้างมากในปัจจุบัน ส่งผลดีต่อปริมาณอ้อยเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน โดยทางอุตสาหกรรมฯ และรัฐบาล ประมาณการผลผลิตอ้อยในปี 65 ไว้ที่ 85-90 ล้านตันอ้อย และปริมาณน้ำตาลจะอยู่ที่ 10 ล้านตันน้ำตาล จากปีก่อนที่มีปริมาณอ้อยอยู่ที่ 66 ล้านตันอ้อย
ขณะที่สถานการณ์น้ำตาลโลก ตั้งแต่ปี 63-65 ยังคงอยู่ในสภาวะขาดดุล เนื่องจากประเทศผู้ผลิตหลัก อย่าง บราซิล ประสบปัญหาภัยแล้ง และมีการนำอ้อยไปผลิตเอทานอลมากขึ้น รวมถึงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ก็ส่งผลทำให้การบริโภคลดลงในบางภูมิภาค อีกทั้งยังมีการเข้ามาเก็งกำไรในน้ำตาลของกองทุนต่างๆ โดยได้เปลี่ยนสถานะจากขายเป็นซื้อตั้งแต่ปีก่อนเป็นต้นมา เป็นผลบวกทำให้ราคาน้ำตาลปรับตัวขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่เดือน เม.ย.63
โดยมีราคาน้ำตาลปัจจุบันอยู่ในช่วง 18-20 เซนต์/ปอนด์ จากเดิมอยู่ที่ 14-16 เซนต์/ปอนด์ ขณะที่ KSL ก็คาดการณ์ราคาน้ำตาลปี 65 ยังคงเป็นบวกต่อเนื่อง จากปัจจุบันยังไม่เห็นภาพลบ หรือมีปัจจัยที่เข้ามากระทบต่อราคาน้ำตาล
"การที่อ้อยกลับเข้ามาสู่ระดับ 90 ล้านตันอ้อยก็จะส่งผลดีต่อต้นทุนต่อหน่วยลดลง และส่งผลดีต่อธุรกิจพลังงาน ทำให้เราไม่ต้องไปซื้อวัตถุดิบ หรือกากอ้อยเพิ่มเติมก็จะลดต้นทุนลง ประกอบกับ ฤดูกาลหีบอ้อยที่จะถึงนี้ ค่าเงินบาทปรับตัวอ่อนค่าก็จะส่งผลดีต่อภาพรวมการดำเนินงานของธุรกิจ จากปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนการขายในประเทศอยู่ราว 20-30% และส่งออก 70%"นายชลัช กล่าว
สำหรับการทำสัญญาขายน้ำตาลล่วงหน้าในปี 65 ในภาพรวมปีนี้ทำไปแล้ว 30% ราคาที่บริเวณ 19 เซนต์/ปอนด์ ดีกว่าปีก่อนราว 3 เซนต์/ปอนด์ ส่วนปริมาณการขายน้ำตาลในไตรมาส 4/64 โดยสิ้นสุดไตรมาส 3/64 บริษัทมีน้ำตาลเหลืออยู่ราว 3 แสนตัน ซึ่งมีสัญญาขายทั้งหมดแล้ว โดยตามสัญญาการส่งออกจะสิ้นสุดเดือน ธ.ค.นี้ แต่เนื่องจากบริษัทจะปิดงบปี 63/64 ในเดือนต.ค.64 ทำให้น่าจะขายทันในเดือนไม่ต่ำกว่า 2 แสนตัน
นายชลัช กล่าวว่า นอกจากนี้บริษัทย่อย บมจ.บีบีจีไอ (BBGI) ซึ่ง KSL ถือหุ้นในสัดส่วน 40% และ บมจ.บางจาก (BCP) ถือ 60% ก็มีแผนจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ หากสามารถเข้าจดทะเบียนได้ในปี 65 ก็คาดว่าจะช่วยต่อยอดในเรื่องของธุรกิจไบโอ ขณะเดียวกันบริษัทฯ ก็ถือหุ้นในบมจ.อุบล ไบโอ เอทานอล (UBE) ในสัดส่วน 21.3% ที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ในเร็วๆ นี้ โดยภายหลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ KSL ก็จะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือราว 10% และคาดจะรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนเข้ามาในไตรมาส 1/65