หุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างดีดตัว-เทรดคึกคัก สวนทางภาพรวมตลาด ตอบรับข่าว รฟม.ออกทีโออาร์ประมูลรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้รอบใหม่
เมื่อเวลา 10.25 น.
CK ปรับขึ้น 3.03% หรือ 0.60 บาท มาที่ 20.40 บาท
STEC ปรับขึ้น 3.10% หรือ 0.40 บาท มาที่ 13.30 บาท
ITD ปรับขึ้น 2.68% หรือ 0.06 บาท มาที่ 2.30 บาท
SEAFCO ปรับขึ้น 1.33% หรือ 0.06 บาท มาที่ 4.58 บาท บล.เคทีบีเอสที ระบุในบทวิเคราะห์ว่า การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เผยแพร่ร่างประกาศและร่างเอกสารประกวดราคา (TOR) จ้างก่อสร้างงานโยธาโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) ด้วยวิธีประกวดราคานานาชาติ ระหว่างวันที่ 28 ก.ย.-4 ต.ค.ผ่านทางเว็บไซต์ รฟม. และเว็บไซต์กรมบัญชีกลาง โดยจะเปิดรับฟังความคิดเห็นภายในวันที่ 4 ต.ค.
ทั้งนี้ ลักษณะงานคือ งานก่อสร้างช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) ระยะทาง 23.6 กม. รวม 17 สถานี แบ่งเป็นสถานีใต้ดิน 10 สถานี ระยะทาง 13.6 กม. และสถานียกระดับ 7 สถานี ระยะทาง 10 กม. แยกเป็น 6 สัญญา ราคากลางรวม 7.87 หมื่นล้านบาท
มีมุมมองเป็นบวกต่อกลุ่มรับเหมา และคาดจะเห็นการขายซองได้ภายในเดือน ต.ค. และเปิดให้เอกชนยื่นซองในช่วงเดือน พ.ย. ล่าช้าจากกรอบเวลาเดิมเล็กน้อยเพียง 1-2 เดือนเท่านั้น โดยความคืบหน้าดังกล่าวช่วยยืนยันมุมมองว่าภาครัฐจะเร่งผลักดันการประมูลโครงการใหญ่มากขึ้นนับจากนี้
ปัจจัยดังกล่าวมองเป็นบวกต่อกลุ่มรับเหมาโดยรวม โดยเฉพาะผู้รับเหมารายใหญ่ ได้แก่ CK, STEC, และ ITD ที่มีโอกาสได้งานสูงมาก รวมถึงผู้รับเหมาฐานรากที่จะได้ประโยชน์จากงาน subcontract การก่อสร้างฐานรากสถานีเช่นกัน
สำหรับ CK และ STEC มองว่ามีโอกาสร่วมจัดตั้ง JV ในการประมูล ประเมินเบื้องต้น หากตั้งสมมติฐาน CK และ STEC ได้ส่วนแบ่งงาน 2 หมื่นล้านบาท และ 1.5 หมื่นล้านบาท (ตามสมมติฐานว่า CK เป็น lead ใน JV) จะเป็น upside ต่อราคาเป้าหมายอย่างน้อยราว 0.50 บาท และ 0.40 บาท ตามลำดับ
คงน้ำหนัก "Overweight" กลุ่มรับเหมา จากแนวโน้มการเปิดประมูลโครงการใหญ่ที่มีความคืบหน้าต่อเนื่อง โดยยังมองว่ามีโครงการค้างท่อที่จะทยอยเปิดประมูลในช่วง 2-3 ปีข้างหน้ารวมสูงถึง 8 แสนล้านบาท Top pick ได้แก่ CK (ซื้อ/เป้า 22.50 บาท) มีโอกาสชนะประมูลงานโยธารถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้สูงมาก ขณะที่ไตรมาส 4/64 ยังมี catalysts หลากหลายโครงการใหม่อื่น ๆ ทั้งนี้ เราประเมิน backlog ของบริษัทในสิ้นปีนี้มีโอกาสกลับไปแตะสูงถึง 1 แสนล้านบาท และคาดจะอยู่ในระดับสูงได้อย่างน้อย 5-6 ปี