หุ้น UBE ปิดเทรดวันแรกที่ 2.06 บาท ลดลง 0.34 บาท (-14.17%) จากราคาขาย IPO ที่ 2.40 บาท/หุ้น มูลค่าซื้อขาย 3,047.38 ล้านบาท โดยเปิดตลาดที่ 2.28 บาท ราคาขึ้นสูงสุด 2.40 บาท และราคาลงต่ำสุด 2.06 บาท
บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ฯ มีมุมมองเชิงบวกกับธุรกิจหลักของ บมจ.อุบล ไบโอ เอทานอล (UBE) ทั้งธุรกิจการผลิตผลิตเอทานอล และธุรกิจมันสำปะหลังที่มีแนวโน้มในการสร้างรายได้ที่เติบโตค่อนข้างสม่ำเสมอ โดยจากการประมาณการเบื้องต้นมูลค่าที่เหมาะสมของ UBE ในปี 65 อยู่ที่ 2.9 บาท (เปรียบเทียบกับบริษัทที่มีลักษณะการดำเนินธุรกิจคล้ายกัน อย่าง KSL และ TWPC ที่ P/E 28 เท่า)
ปัจจัยหนุนมาจากราคาขายของแป้งมันสำปะหลังมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นจากอุปสงค์ในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้นหลังการระบาดของโควิด-19 ดีขึ้น, การขยายตลาดเข้าสู่สินค้าที่มีอัตรากำไรสูงอย่างผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการแปรรูปมันสำปะหลังออร์แกนิค หรือการผลิตผลิตแป้งฟลาวมากขึ้น และแนวโน้มค่าเงินบาทที่อ่อนค่า ประกอบกับปัญหาด้านการขนส่งที่คาดว่าจะดีขึ้นในปี 65 ซึ่งช่วยให้บริษัทควบคุมต้นทุนได้ดียิ่งขึ้น และเพิ่มอัตรากำไรแก่บริษัทโดยเฉพาะในส่วนของธุรกิจมันสำปะหลัง
นอกจากนี้ จากแผนการขยายธุรกิจในอนาคตของบริษัทซึ่งเป็นการมุ่งเน้นรักษาส่วนแบ่งการตลาดในธุรกิจเอทานอล และสร้างการเติบโตจากการขยายผลิตภัณฑ์ในธุรกิจสินค้าเกษตรจะช่วยสร้างทั้งรายได้ที่สม่ำเสมอ และการเติบโตที่ต่อเนื่องให้กับบริษัทในอนาคต
สำหรับความเสี่ยงที่ต้องระวังของ UBE คือ ความผันผวนของราคาสินค้าเกษตร และสินค้าของบริษัทสามารถถูกทดแทนได้สูง อีกทั้งยังมีประเด็นของคดีความเกี่ยวกับน้ำเสียจากกระบวนการผลิตของบริษัทไหลซึมลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ หากบริษัทผิดจริงอาจทำให้ถูกเพิกถอนใบอนุญาต ส่งผลให้สูญเสียรายได้จนกว่าโรงงานจะสามารถกลับมาดำเนินการผลิตด้วยใบอนุญาตใหม่
UBE ดำเนินธุรกิจโดยการเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายแป้งมันสำปะหลังทั้งแป้งมันสำปะหลังเกรดอาหารซึ่งจะมีทั้งแบบทั่วไป (Native Starch) และออร์แกนิค (Organic Starch) โดยส่วนใหญ่บริษัทจะส่งออกเพื่อนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่ม และสารให้ความหวาน และแป้งมันสำปะหลังในเกรดอุตสาหกรรมที่จะถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมกระดาษ กาว ไม้อัด ทั้งยังมีธุรกิจการผลิตเอทานอล ซึ่งสำหรับธุรกิจเอทานอล UBE มีส่วนแบ่งตลาดที่ 8% โดยมีลูกค้าหลัก คือ TOP และ BCP ที่มีบริษัทย่อยร่วมถือหุ้นใน UBE