น.พ.วิเชียร แพทยานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เจ้าพระยามหานคร (CMC) เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์" ว่า บริษัทประกาศตั้งกลุ่มบริษัทใหม่ที่ดำเนินธุรกิจโรงพยาบาลและโรงแรม ซึ่งเตรียมความพร้อมรับกับปัจจัยบวกการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่จะกลับมาสดใสหลังวิกฤติโควิด-19 คลี่คลาย โดยที่บริษัทเตรียมความพร้อมเดินในการเพิ่มรายได้ให้กับบริษัทอย่างยั่งยืน
การเพิ่มทุนในบริษัท ซีทูเฮช จำกัด หรือ C2H ซึ่งเป็นบริษัทย่อยจากทุนจดทะเบียนเดิม 2 ล้านบาท เป็นทุนจดทะเบียน 300 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนและเพิ่มศักยภาพในการดำเนินงานกลุ่มธุรกิจโรงแรม ซึ่งได้มีการจัดตั้งบิษัทย่อย คือ บริษัท ซีทูเอซ วัน จำกัด มีทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท เพื่อพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักอาศัยสู่ธุรกิจการบริการ (Hospitality) และเพื่อรองรับการดำเนินธุรกิจกลุ่มบริหารจัดการที่พักให้เช่าระยะสั้น-ยาว (Chain Hospitality)
ขณะเดียวกันบริษัทยังเดินหน้ารุกธุรกิจโรงแรม Health and Wellness ที่เป็นเชิงการแพทย์ โดยมีพันธมิตร คือ โรงพยาบาลหัวเฉียวและโอ๊ควู๊ด (Oakwood) ที่ร่วมกันลงทุนในโครงการ เดอะชาโตว์ พาเลซ โฮเทล ซึ่งเป็นโรงแรมบริการแพทย์ทางเลือกบนทำเลศักยภาพกรุงเทพ-ธนบุรี รองรับดีมานด์กลุ่มลูกค้าผู้สูงอายุที่ต้องการแก้ปัญหาด้านสุขภาพ ฟื้นฟูดูแลร่างกายก่อนและหลังการรักษาให้กับผู้ใช้บริการในระยะสั้น และกลุ่มมารดาหลังคลอด (Postnatal) ที่ต้องการดูแลโดยตรงจากแพทย์
"เราเล็งเห็นแนวโน้มปริมาณความต้องการด้านการดูแลรักษาสุขภาพที่เพิ่มมากขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งเป็นการร่วมขับเคลื่อนระบบส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนมีสุขภาพดีในวิถีใหม่ ที่เข้ามาช่วยต่อยอดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ การลงทุนในธุรกิจทางการแพทย์และสุขภาพถือเป็นการกระจายความเสี่ยงให้กับเรา เพราะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ค่อนข้างเผชิญกับความไม่แน่นอนสูง เราจึงมองหาธุรกิจที่เข้ามาเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนที่มีโอกาส สร้างรายได้ประจำให้กับเรา ทั้งธุรกิจการแพทย์ และเซอร์วิสอพาร์มเม้นท์เชิงลุขภาพ ที่เป็นเทรนด์ที่กำลังเติบโตขึ้นมากในอนาคต และเราเอาสิ่งนี้มาผนวกเข้ากับธุรกิจหลักของเราในการต่อยอด" น.พ.วิเชียร กล่าว
ในปี 64 ถือว่าเป็นการปรับโครงสร้างของธุรกิจและการรับรู้รายได้ครั้งใหญ่จากเดิมที่รายได้หลักของบริษัทกว่า 95% มาจากรายได้จากการพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อขาย และส่วนที่เหลืออีก 10-15% มาจากรายได้การก่อสร้าง ซึ่งหลังจากการแพร่ระบาดโควิด-19 เกิดขึ้น ทำให้เห็นถึงความไม่แน่นอนที่เข้ามากระทบต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างมาก บริษัทจึงต้องเดินหน้าปรับเปลี่ยนการดำเนินการเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต จึงมีการปรับโครงสร้างรายได้จากกลุ่มธุรกิจการแพทย์และเซอร์วิสอพาร์ทเท้นท์ทีสร้างรายได้ประจำเข้ามา ควบคู่กับรายได้จากการพัฒนาและขายที่อยู่อาศัย โดยตั้งเป้าหมายในช่วง 3 ปีนี้ จะมีรายได้ที่มาจากรายได้ประจำ (Recurring Income) เพิ่มขึ้นมาในสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 50%
สำหรับธุรกิจหลักของบริษัทที่ดำเนินการพัฒนาและขายที่อยู่อาศัยแม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาจะได้รับผลกระทบเข้ามามาก แต่เชื่อว่าจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวขึ้นในช่วงไตรมาส 4/64 เป็นต้นไป หลังจากสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ในประเทศเริ่มดีขึ้น และมีประชาชนได้รับวัคซีนโควิด-19 มากขึ้น ทำให้เศรษฐกิจไทยจะเริ่มค่อยๆฟื้นตัวกลับมา และหนุนต่อความเชื่อมั่นของประชาชน และส่งผลบวกต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยหลังจากนี้
โดยที่ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้บริษัทเตรียมที่จะกลับมาทยอยเปิดโครงการใหม่ที่รอเปิดอยู่ 4 โครงการ มูลค่ารวม 6 พันล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียมที่มีทำเลใกล้กับรถไฟฟ้า ซึ่งจะสอดคล้องกับความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยของคนหลังจากที่เศรษฐกิจกลับมาดีขึ้น ทำให้เริ่มกลับมาทำงาน และมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยใกล้รถไฟฟ้า สามารถเดินทางไปทำงานได้สะดวก
บริษัทยังคงเป้าหมายยอดขายที่ 6 พันล้านบาท และรายได้ 3 พันล้านบาท โดยคาดว่าภาพรวมของผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 4/64 จะเห็นการกลับมาเติบโตที่โดดเด่นมากขึ้น จากการเริ่มเปิดขายโครงการใหม่ที่จะสร้างยอดขายใหม่ๆเข้ามาเสริม และการทยอยโอนโครงการใหม่ที่แล้วเสร็จ ซึ่งมีแผนจะโอนเข้ามาในช่วงไตรมาส 4/64 ราว 1.6 พันล้านบาท จากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ของบริษัทมีมีอยู่กว่า 3 พันล้านบาท
"ภาคอสังหาฯไทยก็จะกลับมาเติบโตตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่ก็ยังหวังให้ภาครัฐช่วยในการลดกฎเกณฑ์บางอย่าง เพื่อช่วยผู้ประกอบการที่ลูกค้าที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยด้วย เช่น ในเรื่องการผ่อนคลายเกณฑ์เครดิตของลูกค้า ที่ส่งผลกระทบในระยะยาวในการซื้อที่อยู่อาศัยอยู่บ้าง รวมถึงมีมาตรการเข้ามาช่วยกระตุ้นภาคอสังหาฯเพิ่มเติม ตอนนี้สำหรับเราก็ต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างรายได้ เพื่อเตรียมความพร้อมในการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต ทำให้การดำเนินงานสามารถต่อยอดการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในปีต่อๆไป" น.พ.วิเชียร กล่าว