ทริสเรทติ้งเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ.โกลว์ พลังงาน (GLOW) และอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทเป็นระดับ "AA+" จาก "AA-" ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่"
ทั้งนี้ การเพิ่มของอันดับเครดิตดังกล่าวเป็นไปตามการเปลี่ยนแปลงของอันดับเครดิตของ บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) ซึ่งได้รับการปรับเพิ่มขึ้นเป็นระดับ "AA+" โดยทริสเรทติ้งเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2564
อันดับเครดิตเฉพาะของบริษัท (Stand-alone Credit Profile) นั้นอยู่ที่ระดับ "aa" ซึ่งยังคงสะท้อนถึงกระแสเงินสดที่แข็งแรงของบริษัทจากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว (Power Purchase Agreement - PPA) และประวัติผลการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ รวมไปถึงแนวโน้มสถานะทางการเงินที่คาดว่าจะยังคงแข็งแกร่งต่อไปในระยะยาว
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
- สถานะเป็นบริษัทย่อยหลักของ GPSC ทริสเรทติ้งประเมินว่าบริษัทจะยังคงเป็นบริษัทย่อยหลักที่สำคัญของ GPSC เมื่อพิจารณาจากการสร้างผลกำไรที่มีสัดส่วนใหญ่ต่อกลุ่ม และความเชื่อมโยงด้านการปฏิบัติการที่จะใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้นของบริษัททั้งสอง ปัจจุบัน GPSC เป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมดของบริษัท ในขณะที่ผลกำไรจากบริษัทนั้นคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 60% ของกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของกลุ่ม
ด้วยสถานะการเป็นบริษัทย่อยหลักของ GPSC อันดับเครดิตของบริษัทจึงเท่ากับอันดับเครดิตของบริษัทแม่ซึ่งอยู่ที่ระดับ AA+ ในขณะที่อันดับเครดิตเฉพาะของบริษัท (Stand-alone Credit Profile) นั้นอยู่ที่ระดับ "aa"
- กระแสเงินสดยังคงแข็งแกร่ง ความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดของบริษัทยังคงแข็งแกร่ง จากการมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และลูกค้าอุตสาหกรรมหลายราย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 บริษัทมีกำลังการผลิตติดตั้งรวมที่ขนาด 3,093 เมกะวัตต์ ซึ่งสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่มีกับ กฟผ. ครอบคลุมสัดส่วนประมาณ 70% ของกำลังการผลิตรวมของบริษัท โดยในส่วนที่เหลือนั้นบริษัทมีการทำสัญญากับลูกค้าอุตสาหกรรมหลายราย ทั้งนี้ กำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทอยู่ที่ 2,771 เมกะวัตต์
สัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. ให้ประโยชน์ต่อสถานะเครดิตของบริษัทเป็นอย่างมาก เนื่องจากเงื่อนไขในสัญญาช่วยป้องกันความเสี่ยงด้านอุปสงค์และความเสี่ยงด้านราคาเชื้อเพลิง ซึ่งส่งผลทำให้กำไรของบริษัทมีเสถียรภาพ นอกจากนี้ สัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับลูกค้าอุตสาหกรรมยังช่วยเสริมให้บริษัทมีรายได้ที่มั่นคง เนื่องจากมีการกำหนดปริมาณการซื้อขั้นต่ำไว้ในสัญญา และลูกค้าของบริษัทเป็นผู้ผลิตปิโตรเคมีรายใหญ่ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดซึ่งมีความต้องการไฟฟ้าจำนวนมากและต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งยังพิจารณารวมไปถึงประวัติการดำเนินงานที่ยาวนานและมีประสิทธิภาพสูง โดยเห็นได้จากค่าความพร้อมของโรงไฟฟ้าที่อยู่ในระดับที่ดี รวมถึงอัตราค่าความร้อนของโรงไฟฟ้าและต้นทุนการผลิตที่อยู่ภายใต้การควบคุมเป็นอย่างดี ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือเป็นปัจจัยบวกที่จะช่วยทำให้รายได้และผลกำไรของบริษัทยังคงมีเสถียรภาพในระยะยาวด้วยเช่นกัน
- มีความเสี่ยงในด้านราคาเชื้อเพลิงที่จำกัด บริษัทมีความเสี่ยงในด้านราคาเชื้อเพลิงบางส่วนซึ่งมาจากการจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรม ความเสี่ยงนั้นเกิดจากความไม่สอดคล้องกันของการเปลี่ยนแปลงของค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) และต้นทุนเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า ทั้งนี้ การปรับค่าไฟฟ้าผันแปรนั้นมีความล่าช้า อีกทั้งเวลาและขนาดของการปรับก็จะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของหน่วยงานที่รับผิดชอบ การเคลื่อนไหวที่แตกต่างกันระหว่างค่าไฟฟ้าผันแปรและต้นทุนเชื้อเพลิงส่งผลทำให้กำไรของบริษัทมีความผันผวนได้ อย่างไรก็ตาม ผลกระทบดังกล่าวมีจำกัดเนื่องจากรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมนั้นคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 30%-35% ของรายได้ทั้งหมดของบริษัท
- กำลังการผลิตตามสัญญาจะลดลง ทริสเรทติ้งคาดว่ากำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญาที่บริษัททำไว้กับ กฟผ. จะลดลงประมาณ 300 เมกะวัตต์ในระหว่างปี 2565-2568 หลังจากโครงการ SPP (Small Power Producer - SPP) Replacement ของโรงไฟฟ้า GEN Phase 2, GSPP2 และ GSPP3 นั้นเสร็จสิ้น โดยเราคาดว่าการลดลงของกำลังการผลิตตามสัญญานั้นจะส่งผลทำให้กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายนั้นลดลงประมาณ 5%-6% อย่างไรก็ตาม การลดลงของผลกำไรส่วนหนึ่งน่าจะได้รับการชดเชยจากยอดขายไอน้ำที่เพิ่มขึ้น และผลประโยชน์ที่จะได้รับจาก Synergy ระหว่างบริษัทและ GPSC
- สถานะการเงินยังคงแข็งแกร่ง ทริสเรทติ้งคาดว่าโครงสร้างหนี้สินของบริษัทจะยังอยู่ในระดับที่ต่ำมากในช่วง 3 ปีข้างหน้า โดยเราคาดว่าบริษัทไม่น่าจะมีการลงทุนใหม่นอกเหนือจากโครงการ SPP Replacement ที่กำลังดำเนินอยู่ เนื่องจากการลงทุนในโครงการใหม่ส่วนใหญ่นั้นน่าจะถูกดำเนินการโดย GPSC ในระหว่างปี 2564-2566 บริษัทจะยังคงรักษาระดับ กำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ที่ 1.4-1.5 หมื่นล้านบาทต่อปี
ในขณะที่การลงทุนของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 0.8-1.2 หมื่นล้านบาทต่อปี สำหรับการซ่อมแซมโรงไฟฟ้า Phase 5 และสำหรับโครงการ SPP Replacement ดังนั้นอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทจะน่าจะอยู่ที่ระดับไม่เกิน 3 เท่าในช่วง 3 ปีข้างหน้า
ตามนโยบายของกลุ่มนั้น GPSC จะเป็นศูนย์กลางในการควบคุมการบริหารการเงินของบริษัทย่อยต่าง ๆ ทริสเรทติ้งจึงคาดหุ้นกู้ของบริษัทน่าจะถูกทดแทนด้วยเงินกู้ยืมจากศูนย์บริหารเงินของ GPSC แทน ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะนำเงินสดส่วนเกินที่มีอยู่ในปัจจุบันไปใช้จะจ่ายเป็นเงินปันผลเพื่อสนับสนุนการลงทุนใหม่ ๆ ของ GPSC
- โครงสร้างเงินทุน ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2564 บริษัทมีภาระหนี้สินทางการเงินซึ่งไม่รวมหนี้สินจากสัญญาเช่าทางการเงินอยู่ที่จำนวน 3.2 หมื่นล้านบาท โดยหนี้จำนวนนี้ประกอบด้วยหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนจำนวน 9.4 พันล้านบาทซึ่งทั้งหมดเป็นหนี้เงินกู้โครงการ ดังนั้น อัตราส่วนของหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อภาระหนี้รวมจึงอยู่ที่ระดับประมาณ 29%
สมมุติฐานกรณีพื้นฐาน
- รายได้คาดว่าจะอยู่ระดับ 4.4-4.8 หมื่นล้านบาทในระหว่างปี 2564-2566
- กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 1.4-1.5 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2564-2566
- รายจ่ายลงทุนจะอยู่ที่ประมาณ 0.8-1.2 หมื่นล้านบาทต่อปี
- อัตราการจ่ายเงินปันผลจะอยู่ที่ระดับ 100% ในช่วงปีประมาณการ
แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถสร้างกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งและแน่นอนได้ในอนาคตอันใกล้ ทริสเรทติ้งยังคาดอีกด้วยว่าบริษัทจะสามารถรักษาผลการดำเนินงานที่ดีและดำรงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง เนื่องจากบริษัทมีสถานะเป็นบริษัทย่อยหลักของ GPSC ดังนั้นอันดับเครดิตของบริษัทจึงจะเปลี่ยนแปลงไปตามอันดับเครดิตของบริษัทแม่ดังกล่าว ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงของอันดับเครดิต GPSC ในกรณีใด ๆ ล้วนจะส่งผลต่ออันดับเครดิตของบริษัทด้วยเช่นกัน