นางอาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) (DBSV) กล่าวในงานสัมมนาออนไลน์ "ส่งพลังวัคซีน ฝ่าด่าน QE สู่ดัชนี 1,700" ว่า ตลาดหุ้นไทยในโค้งสุดท้ายของปี 64 ยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าสิ้นปีนี้ดัชนีจะแตะ 1,695 จุด และปี 65 ที่ระดับ 1,848 จุด โดยอิงราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) อยู่ที่ 19.3 เท่า
ปัจจัยสนับสนุนมาจากตัวเลขการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติที่เริ่มส่งสัญญาณบวก โดยในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา (ส.ค.-ก.ย.64) นักลงทุนต่างชาติมียอดซื้อสุทธิกลับเข้ามาเป็นครั้งแรกของปี 64 โดยเดือน ส.ค.มียอดซื้อสุทธิ 5,584 ล้านบาท และเดือน ก.ย.มียอดซื้อสุทธิ 10,803 ล้านบาท แต่โดยรวมทั้งปีแล้วต่างชาติขายสุทธิ 79,172 ล้านบาท
ขณะเดียวกันแม้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีแผนจะลดวงเงิน QE ลงในเร็วๆนี้ และอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มกลับเป็นทิศทางขาขึ้นตั้งแต่ปลายปี 65 ซึ่งเร็วกว่าคาดการณ์เดิม แต่การที่เฟดพยายามบริหารการให้ข้อมูลที่ดีจะช่วยให้นักลงทุนไม่ตระหนกมาก นอกจากนั้นการฟื้นตัวของการอุปโภคบริโภคการลงทุน และภาคท่องเที่ยวของไทย รวมถึงการส่งออกที่ยังคงดีต่อเนื่อง จะช่วยหนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย และทำให้ตลาดหุ้นในปี 65 สามารถขยับขึ้นต่อได้
นางอาภาภรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดการณ์ว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ปี 64 จะเติบโตได้ไม่มาก คือ 0.7% แต่การเร่งกระจายวัคซีน จะทำให้ GDP ปีหน้าฟื้นตัวโต 3.9%
ส่วนปัจจัยเสี่ยงในประเทศที่น่าเป็นห่วงและต้องจับตาอย่างใกล้ชิดถือเป็นระเบิดเวลา 12 ปัจจัยเสี่ยง ประกอบด้วย 1. วิกฤติโรคระบาด 2. การชะลอตัวของเศรษฐกิจ 3. วิกฤติคนตกงาน 4. การขยายตัวของคนจน 5. วิกฤติการเมือง 6. วิกฤติทหาร 7. วิกฤติความเชื่อในสังคมไทย 8. ระเบิดรัฐธรรมนูญ 9. วิกฤติจากภายนอก (สงครามการค้า การเมือง การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบ/การออกมาตรการใหม่ๆ ของประเทศขนาดใหญ่ เช่น สหรัฐ จีน ยุโรป) 10. ความเปลี่ยนแปลงของอากาศ 11.วิกฤติภาพลักษณ์ และ 12. วิกฤติศรัทธา
สำหรับคำแนะนำ เน้นเลือกซื้อหุ้นพื้นฐานดีและมี ESG เนื่องจากเป็นหุ้นที่มีการเติบโตยั่งยืนธุรกิจเติบโตได้อย่างมีเสถียรภาพ และมีต้นทุนเงินลงทุน (Cost of Capital) ที่ต่ำกว่ารวมทั้งหุ้นมีความผันผวนน้อยกว่าในระยะยาว ซึ่งหุ้นที่อยู่ในดัชนีหุ้นยั่งยืนและเราเลือกเป็นหุ้นเด่นในไตรมาส 4/64 ประกอบด้วย BDMS ธีมเปิดเมืองและสังคมสูงวัย, KBANK ธีมดิจิตอล แบงค์กิ้ง, GPSC ธีมแบตเตอรี่และพลังงานทางเลือก, PTTEP ธีมเปิดเมือง อุปสงค์น้ำมันสูงในช่วงฤดูหนาว และเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว, และ HFT ธีมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
ด้านนายสมบัติ เอกวรรณพัฒนาผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ DBSV กล่าวว่า หุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมที่จะได้ประโยชน์จากการที่ประเทศไทยมีความคืบหน้าเรื่องการฉีดวัคซีนลดการระบาด และติดเชื้อลดลง ทำให้ภาครัฐออกโครงการกระตุ้นท่องเที่ยวในประเทศ เช่น โครงการ เราเที่ยว ด้วยกันเฟส 3 , ทัวร์เที่ยวไทย และเริ่มเข้าสู่ไฮซีซันท่องเที่ยว ฝ่ายวิจัยฯ แนะนำให้เลือกลงทุนในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวเร็ว เช่น MINT, AOT, CPN, HMPRO, BTS
นายธนวัฒน์ ปัจฉิมกุล ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนต่างประเทศ DBSV กล่าวว่าเศรษฐกิจสหรัฐและยุโรปมีแนวโน้มกลับมาขยายตัว ซึ่งจะกระตุ้นเงินเฟ้อ ส่งผลให้เฟดเริ่มลดการผ่อนคลาย แต่แนวโน้มดอกเบี้ยยังคงต่ำมากซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนยังคงมองหาผลตอบแทนส่วนเพิ่ม ประกอบกับสภาพคล่องที่สูงก็เป็นปัจจัยหนุนให้เม็ดเงินไหลเข้าในตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ต่อไป
สำหรับในมุมมอง บล.ดีบีเอสฯ ตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้วจะ outperform ตลาดเกิดใหม่ในช่วงที่เฟดลดการผ่อนคลาย ในขณะที่การเติบโตเศรษฐกิจโลกที่แผ่วลง จะส่งให้นักลงทุนโยกเข้าลงทุนในหุ้นที่มีอัตราการเติบโต (growth) แนะนำธีมการลงทุน เน้นการลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตดีจากการเร่งลงทุนด้านวิจัย และพัฒนารวมทั้งขยายกำลังการผลิต โดยกลุ่มเทคโนโลยีมีการลงทุนเพิ่มมากกว่าอุตสาหกรรมอื่นๆ จากที่เคยมีสัดส่วนการลงทุนประมาณ 12% ของยอดลงทุนรวมทุกอุตสาหกรรมในปี 51 ก็ได้มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นมาที่ 18% ปีนี้
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนจะต้องตระหนักถึงปัจจัยความเสี่ยงจากความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยน, การเปลี่ยนแปลงนโยบายรัฐบาล, เทคโนโลยี, สภาวะเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม,การลงทุนในอุตสาหกรรมเฉพาะมีความเสี่ยงสูงกว่าตลาดโดยรวม
นายพงศ์ภัทร สิริพิพัฒน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ DBSV กล่าวว่า ในช่วงที่มีความเสี่ยงเรื่องเงินเฟ้อสูง หลังจากที่สินทรัพย์ทางการเงินมีการปรับฐานในเรื่องเงินเฟ้อแล้ว การจัดสรรสินทรัพย์ทางการเงินรอบใหม่ ถ้าเศรษฐกิจมีแนวโน้มเติบโตไปในทิศทางดีจะทำให้มีแรงซื้อในหุ้นกลุ่ม SET50 แต่จะมีแรงขายตราสารหนี้ แต่ถ้าแนวโน้มเศรษฐกิจอยู่ในช่วงขาลงจะมีแรงซื้อเก็งกำไรในกลุ่มทองคำและมีแรงขายตราสารหนี้โดยภาพรวมตราสารหนี้เป็นลบทั้ง2สถานการณ์ในช่วงเงินเฟ้อสูง
สำหรับแนวโน้ม SET50 ทองคำ และค่าเงินบาท ตามทิศทางเทคนิค SET50 ติดแนวต้าน 1,000-1,050 จุด แกว่งตัวในกรอบ กรอบล่าง 900-880 จุด ถ้าหลุดแนวกรอบล่างมีโอกาสปรับตัวลงยาวส่วนทองคำเริ่มมีโอกาสกลับมาสร้างฐานเพื่อปรับตัวขึ้น ขณะที่ค่าเงินบาทหากยังไม่หลุดต่ำกว่า 33.50-33.30 บาท/ดอลลาร์ ยังเป็นการแกว่งตัวอ่อนค่า